วันเสาร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

มองชีวิตที่เปลือยเปล่า

คนอยู่บนสวรรค์ เงินอยู่ในธนาคาร ; คนเราตอนมีชีวิตอยู่ก็ไม่มีเงินใช้ ตายแล้วเงินก็ยังใช้เงินไม่หมด

หวางจวินเหยานักธุรกิจผู้ยิ่งใหญ่ในเจ้อเจียง เสียชีวิตในขณะที่อายุยังไม่มาก เหลือเงินฝากไว้ให้ภรรยา 1,900,000,000 บาทและภรรยาได้แต่งงานใหม่กับคนขับรถของคุณหวางในสมัยที่คุณหวางยังมีชีวิตอยู่

ในขณะที่คนขับรถคนนั้นใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เขาก็คิดว่า

”แต่ก่อน เรานึกว่าเราเป็นคนทำงาน ให้เจ้านาย ตอนนี้เราเพิ่งเข้าใจแล้วว่าเจ้านาย ทำงานให้เรามาตลอด”

ความจริงที่โหดร้ายนี้เป็นตัวแสดงว่า : มีชีวิตที่ยืนยาว สำคัญกว่าความรวยความหล่อ ขอให้ทุกคนหมั่นออกกำลังกาย ระวังสุขภาพ ใครเป็นฝ่ายทำงานให้ใครนั้นพูดยาก

โทรศัพท์ที่ทันสมัย1เครื่อง, 70%ของฟังก์ชั่นในโทรศัพท์นั้นไม่มีประโยชน์

รถหรูๆ 1 คัน , 70%ของความเร็วนั้นเหลือใช้

บ้านหรูๆ 1 หลัง, 70%ของพื้นที่นั้นว่างเปล่า

ในมหาวิทยาลัยสักแห่ง ,70% ของศาสตราจารย์เป็นพวกไร้สาระ

กิจกรรมทางสังคมหลายอย่าง , 70% เป็นกิจกรรมที่น่าเบื่อ

เสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้ในบ้าน , 70% ไม่ได้ใช้ ไร้ประโยชน์

เงินที่หามาทั้งชีวิต , 70% ก็ทิ้งไว้ให้ผู้อื่นใช้

สรุป: ชีวิตที่เรียบง่าย ให้สนุกกับการใช้ชีวิต 30% ที่เป็นของคุณ

ไม่เจ็บปวดแต่ก็ต้องบำรุง ไม่กระหายแต่ก็ต้องดื่มน้ำ ว้าวุ่นแค่ไหนก็ต้องปล่อยวาง มีเหตุมีผลแต่ก็ต้องยอมคน มีอำนาจแต่ก็ต้องรู้จักถ่อมตน ไม่เหนื่อยแต่ก็ต้องพักผ่อน ไม่รวยแต่ก็ต้องรู้จักพอเพียง ธุระยุ่งแค่ไหนก็ต้องรู้จักพักผ่อน

หมั่นเตือนตน: ชีวิตนี้สั้นนัก

หากเวลาของคุณยังมีเหลือเฟือ ส่งต่อข้อความเหล่านี้ต่อให้เพื่อนของคุณ ให้เพื่อนได้อ่านบ้าง..

...เพื่อจะได้ใส่ใจตัวเองบ้าง...

cr.line

ที่มา :Stock Gen Y

วันพฤหัสบดีที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ปลาทูไหม้ 1 ตัว ไม่เคยทำร้ายใคร

แม่ของผมชอบทำอาหาร...
คืนหนึ่งหลังจากที่แม่ทำงานหนักมาตลอดทั้งวัน
แม่กลับบ้านมาด้วยความเหนื่อยล้า และทำอาหารเย็นให้เราปกติ
ที่โต๊ะอาหาร แม่วางจานที่มีปลาทูที่ไหม้เกรียม บนโต๊ะต่อหน้า พ่อ และทุกๆคน....

ผมรอว่าแต่ละคนจะว่าอย่างไร.....
แต่...พ่อไม่พูดอะไร และตั้งหน้าตั้งตา กินปลาทูไหม้ตัวนั้น และ
หันมาถามผมว่าที่โรงเรียนเป็นอย่างไรบ้าง

คืนนั้นหลังอาหารเย็น ผมจำได้ว่า ได้ยินแม่ขอโทษพ่อที่ทอดปลาทูไหม้...
และผมไม่เคยลืมที่พ่อพูดกับแม่เลย "โอย...ผมชอบปลาทูทอดเกรียมๆ...อร่อยมากนะแม่"
คืนต่อมา ผมเก็บคำถามในใจ ก่อนนอน และถามพ่อว่า พ่อชอบปลาทูทอดเกรียมๆ จริงๆ เหรอ
พ่อลูบหัวผม และ ตอบว่า....
"แม่ของลูกทำงานหนักมาทั้งวัน... ปลาทูไหม้ 1 ตัว ไม่เคยทำร้ายใคร แต่คำพูดว่ากัน ต่างหากที่จะทำร้ายกัน"

"ชีวิตคนเราเต็มไปด้วยความไม่สมบูรณ์แบบ และ
แต่ละคนก็ไม่ได้เกิดมาสมบูรณ์แบบ 
ตัวเราเองก็ไม่ได้มีอะไรดีกว่าใครๆ"

"พ่อเองก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่เคยจำวันเกิดแม่ วันครบรอบวันแต่งงาน เหมือนกับคนอื่นๆ
แม้แต่ตนเองและลูก ไม่เคยฉลอง ไม่เคยทำบุญวันเกิด แม้แต่ของพ่อแม่ตนเอง

แต่สิ่งที่พ่อเรียนรู้ ในช่วงชีวิตคือ.....
การเรียนรู้ที่จะยอมรับความผิดของคนอื่น และการเลือกที่จะยินดีกับความคิดต่างกันของแต่ละบุคคลเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างชีวิตครอบครัวที่มีความสุขและยืนยาว

ชีวิตเราสั้นเกินกว่า จะตื่นขึ้นมาพร้อมกับความเสียใจที่ว่า เราทำผิดกับคนที่เรารัก และ รักเรา 
ดูแล และทะนุถนอมเรา

ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับชีวิตนะครับ
เพราะชีวิตคนเรา....มันมีวันหมดอายุ....

ที่มา:Stock Gen Y

คุณจงสร้างเงินไม่ใช่สร้างหนี้ !

"คุยกับเด็กรุ่นใหม่ ก็ตกใจ ผมถามว่า คุณวัดความสำเร็จของคนจากอะไร ? ..เขาตอบว่าขึ้นกับว่า บ้านหลังใหญ่แค่ไหน ขับรถหรู มีเสื้อผ้าหรู รองเท้าไฮโซ กระเป๋าแพงๆ มีชีวิตที่หรูหรากินแพงๆ เที่ยวยุโรปทุกปี และก็ซื้อทุกอย่างที่อยากได้ นี่เลยพี่ผมได้แรงบันดาลใจการใช้ชีวิตจาก Instagram นี่แหละ ทุกคนโพสชีวิตในฝัน เที่ยวและกินแบบเลิศๆ ขับรถสปอร์ต สุดอ่ะ ใช่เลยชีวิตในแบบของผม !! 

...(โหห!! พ่อง ฟังแล้วตรูเครียดแทน(พ่อง) จริงๆ) ผมถามเขาต่อไปว่า แล้ววางแผนจะหาเงินอย่างไรที่จะซื้อทุกอย่างที่อยากได้ล่ะ ? ..."ก็บัตรเครคิตไงพี่ รูดปลื๊ด รูดปรี๊ด สามารถเสกเงินได้มากกว่าเงินเดือนหลายเท่านัก ..อยากได้อะไร ผมรูดเลย จัด!!" ...ฮึม!! น้องคนนี้ช่างฉลาดจริงๆ ผมเลยถามต่อว่า แล้วมรึงเครียดไหมนี่ ใช้ชีวิตในฝันแบบนี้? -- (ต่อมน้ำตาแตก) เครียดครับพี่!! ผมไม่รู้จะทำไงแล้วพี่ ผม Max Out Credit หนี้ทุกอย่างเท่าที่ผมจะทำได้ ผมมีบัตรเครดิต 10 ใบ รูดแม่งสุดทุกธนาคาร กู้ซื้อบ้านและรถในฝัน(ผ่อนอยู่) ส่วนนึงของหนี้ก็เอามาขยายธุรกิจ วันนี้ก็เดือนชนเดือน จ่ายขั้นต่ำของทุกบัตร ...ไม่รู้จะยังไงแล้ว เมียไฮโซผมก็ไม่แคร์ ทำหน้ามันทุกเดือน ..ลูกผมก็เรียนอินเตอร์ (ส่งให้ไม่น้อยหน้าใคร) ..แล้วช่วงนี้เศรษฐเริ่มชะลอ เงินที่กู้มาขยายธุรกิจก็เริ่มซวย เพราะของมันขายไม่ได้ ..ผมว่ากำลังจะเริ่มค้ายา หรือไม่ก็เก็บเงินซื้อปืน -- ผมตกใจ "เฮ้ย!! เอ๊งจะซื้อปืนทำไม" -- ก็เอามายิงพี่อะดิ ถามอยู่ได้ กรูเครียดเว้ย !! แล้วยิงพี่เสร็จผมจะเอาไปยิงเมีย ยิงลูก แล้วค่อยยิงตัวตาย ให้พ้นทุกข์ให้หมด" ...ไอ้ควายเอ้ย!! จริงๆแก้ง่ายกว่านั้น คือ เอาของที่ซื้อมาทุกอย่าง มารวมกองตรงหน้า จากนั้นให้จุดธูปแล้วกราบ กราบจนคิดให้ได้ว่าที่ชีวิตมรึงพัง ก็เพราะของเหล่านี้แหละ ที่ทำให้มรึงสร้างหนี้จนชีวิตไม่มีทางออกนั่นแหละ -- 

ทางออกน่ะมี มรึงกล้าป่าว ขายแม่มให้หมดทุกอย่าง ล้างหนี้ให้หมด เอาหนังสือภาววิทย์ไปอ่าน แล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ ..เจริญพร!! -- คนเราเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ ถ้ากล้าพอ ไม่มีคำว่าสายเกินไปหรอก ..ยกเว้นมันขี้แพ้ ก็ก้มหน้าต่อไป!!

: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

กองทุนรวม / กองทุนทองคำ / ตราสารหนี้ต่างกันอย่างไร ?

     กองทุนรวม  เป็นชื่อรวม   ขึ้นกับนโยบายการลงทุนเ  ช่น  ลงในหุ้น  เรียกกองทุนรวมหุ้น  ลงในทองคำก็เรียกกองทุนทองคำ ลงตราสารหนี้  ก็เรียกกองทุนตราสารหนี้  
      ในส่วนของตราสารหนี้  ก็เป็นตราสารที่หน่วยงานออกมาเพื่อแสดงว่าตัวเองเป็นหนี้  เช่นพันธบัตร (รัฐบาลออก)  หุ้นกู้  ตั๋วแลกเงิน   พวกนี้เป็นตราสารหนี้ทั้งหมด  ขึ้นกับว่าใครออกเพื่อขาย

       พันธบัตร พุ้นกู้ หุ้นกู้แปลงสภาพ (เป็นเครื่องมือทางการเงิน)

-    พันธบัตร เป็นตราสาร (การลงทุนอย่างหนึ่ง) ซึ่งมีลักษณะเป็นเจ้าหนี้ของรัฐบาล
-    หุ้นกู้ มีลักษณะเป็นเจ้าหนี้ของบริษัทผู้ออก (ให้สิทธิเปลี่ยนสภาพเป็นหุ้นสามัญ)

การลงทุน แบ่งเป็น 2 ประเภท ดังนี้
1.    แบบเจ้าของ คือ หุ้นสามัญ (ซื้อหุ้นสามัญ)
2.    แบบเจ้าหนี้ คือ ฝากเงิน หุ้นกู้ หรือพันธบัตร
Note : หุ้นกู้แปลงสภาพ อยู่ตรงกลางระหว่างแบบเจ้าของและแบบเจ้าหนี้

การที่ประชาชนนำเงินไปฝากธนาคาร จะได้รับดอกเบี้ยเงินฝากจากธนาคาร ธนาคารจะรวบรวมเงินฝาก และปล่อยกู้ให้กับบริษัทต่างๆในอัตราดอกเบี้ยต่างๆ ดังนั้นการที่มีการออกพันธบัตร พุ้นกู้ หุ้นกู้แปลงสภาพ นั้นเป็นการลดบทบาทของธนาคารลง เป็นการดำเนินการระหว่างบริษัทกับประชาชน โดยประชาชนจะได้ดอกเบี้ยในอัตราที่สูงกว่าเงินฝากธนาคาร และบริษัทก็มีภาระดอกเบี้ยจ่ายที่ต่ำกว่ากู้เงินจากธนาคาร

ปัจจัยที่ควรพิจารณาในการลงทุนพันธบัตร พุ้นกู้ หุ้นกู้แปลงสภาพ
1.    ผู้ออกตราสาร เป็นใคร จะได้รับข้อมูลข่าวสารจากที่ปรึกษาทางการเงิน หรือหนังสือชี้ชวนต่างๆ
2.    ระดับความน่าเชื่อถือ กลต.กำหนดให้สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ เป็นผู้กำหนด ซึ่งมี 2 แห่ง 

                           ระดับเพื่อการลงทุน 
AAA
AA             
A
BBB
BB
B
                        ระดับเพื่อการเก็งกำไร
CCC              
CC
C
D

ในแต่ละระดับอาจจะมีประจุ บวก ลบได้ด้วย เช่น BBB+ เป็นต้น   
ระดับความน่าเชื่อถือ อาจพิจารณาในส่วนของสินทรัพย์ค้ำประกันด้วยว่ามีหรือไม่

3.    อายุ
4.    ดอกเบี้ยหน้าตั๋ว แบ่งเป็น คงที่หรือลอยตัว (แปรเปลี่ยนตามตลาด)
5.    อัตราผลตอบแทนที่ได้รับ จะควบคู่กับราคาหุ้นกู้ โดยพิจารณาว่าราคาที่ซื้อได้ผลตอบแทนเท่าไหร่ 

ผลตอบแทนจากการลงทุน เมือถือจนครบกำหนด  ประกอบด้วย
1.    ดอกเบี้ยที่ได้รับทุก 6 เดือน
2.    เงินต้น เมือถือจนครบกำหนด

ผลตอบแทนจากการลงทุน เมือถือไม่ครบกำหนดเช่น พันธบัตร 7 ปี ถือไป 3 ปีแล้วขาย
1.    ดอกเบี้ยที่ได้รับทุก 6 เดือน
2.    ส่วนต่างจากราคาเมื่อขาย
3.    ดอกเบี้ยของดอกเบี้ย คือนำไปลงทุนต่อ

ความเสี่ยงจากการลงทุน แบ่งออกเป็น
1.    ความเสี่ยงทางด้านราคา (Price risk) เกิดขึ้น เมื่อต้องขายในตลาดรองเมื่อยามที่ดอกเบี้ยสูงขึ้น
2.    ความเสี่ยงด้านการลงทุนต่อ (Reinvestment risk)เกิดขึ้น เมื่อ มีกระแสเงินให้ลงทุนยามดอกเบี้ยต่ำ
3.    ความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit risk) เกิดขึ้น เมื่อ ผู้ออกผิดชำระดอกเบี้ยและเิงินต้น

การวิเคราะห์ความเสี่ยงด้านเครดิต แบ่งออกเป็น
-    วิเคราะห์งบการเงิน ดึความสามารถในการทำกำไร
-    วิเคราะห์บริษัท ดูว่าตัวธุรกิจมีความสามารถในการแข่งขันได้หรือไม่
-    วิเคราะห์อุตสาหกรรม ดูแนวโน้มการเดิบโต และการแข่งขันของคู่แข่งขันรายใหม่ว่าเป็นอย่างไร

4.    ความเสี่ยงในสภาพคล่อง (Liquidity risk) เกิดขึ้น เมื่อต้องขายตราสารตอนยังไม่ครบกำหนด โดยปกติตราสารสามารถเปลี่ยนมือได้โดยการขายในตลาดรอง โดยจะขายง่ายหรือยาก ดูจากสภาพคล่องในตลาดรอง
5.    ความเสี่ยงจากการถูกไถ่ถอนก่อนครบกำหนด (Call risk) เฉพาะกรณีมีการกำหนดสิทธิไว้ ยามดอกเบี้ยต่ำ ผู้ออกอาจมีการไถ่ถอนคืนตามสิทธิ

นักลงทุน  แบ่งออกเป็น 

1.นักลงทุนเชิงรุก

เช่น ถ้ารู้ว่าอัตรดอกเบี้ยจะลดลง ..ก็ถือตราสารให้ระยะเวลายาวหน่อย เพื่อจะได้ถือครองอัตราดอกเบี้ยสูงๆไว้นานๆ อย่างไรก็ตามก็มีความเสี่ยงจากการถือไว้ระยะเวลายาวนาน
อายุยาว               -->         ราคาเคลื่อนไหวมาก
อายุสั้น              -->            ราคาเคลื่อนไหวน้อย
          
2. นักลงทุนเชิงรับ (Passive) เช่นเราจะลงทุน 5 ปี ก็ควรถือพันธบัตรหรือหุ้นกู้ที่มีระยะเวลาใกล้เคียง 5 ปี และถือไว้ให้ครบกำหนด จะได้ไม่ต้องเสี่ยงกับการไปขายในตลาดรอง

ประเภทความเสี่ยง                    จัดการโดย
1. Price risk                           เลือกลงทุนในตราสารอายุใกล้เคียงกับระยะเวลาลงทุน
2. Reinvestment risk               เลือกลงทุนในตราสารอายุใกล้เคียงกับระยะเวลาลงทุน
3. Credit risk                         ศึกษาอันดับความน่าเชื้อถือ
4. Liquidity risk                     ทำความเข้าใจส่วนต่างระหว่างราคาเสนอซื้อ เสนอขายแต่ต้น
5. Call risk                             ศึกษาเงื้อนไข/ประเมินแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย 

การลงทุน จะต้องแบ่งการลงทุน เป็น Assets allocation โดยมีเงินฝาก ตราสารหนี้ และตราสารทุน โดยตราสารหนี้นั้น อยู่ตรงกลางระหว่างเงินฝาก และตราสารทุน เนื่องจากมีความเสี่ยงกลางๆ ต่ำกว่าหุ้นสามัญ ควบคุมและจัดการได้ ผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝาก และให้สภาพคล่องกับผู้ถือได้ นอกจากนี้ยังมีทางเลือกที่สามารถลงทุนให้สอดคล้องกับระยะเวลาที่จะใช้เงินได้อีกด้วย

หุ้นกู้แปลงสภาพ อยู่ระหว่าง ส่วนของเจ้าของ และส่วนที่เป็นเจ้าหนี้ .. ถ้าถือจนครบกำหนดโดยไม่มีการแปลงภาพ  จะได้รับดอกเบี้ยและเงินต้น แต่ถ้ามีการแปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญ ก็จะได้รับเงินปันผลตอบแทน อย่างไรก็ตามถ้าเห็นว่าแนวโน้มบริษัทดีก็เปลี่ยนเป็นหุ้น .. แต่ถ้าแนวโน้มไม่ดีก็ถือไปให้ครบกำหนด เพื่อให้ได้รับเงินต้นคืน เนื่องจากถ้าบริษัทล้ม priority ของเจ้าหนี้ ย่อมดีดว่าส่วนของเจ้าของอยู่แล้ว

กองทุนรวม คืออะไร????
กองทุนรวมคือ การนำเงินของผู้ลงทุนหลายๆ คนมารวมกัน แล้วนำไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ตามนโยบายของกองทุน ภายใต้การบริหารของผู้จัดการกองทุนที่มีความรู้และประสบการณ์ในการลงทุน สินทรัพย์ที่กองทุนรวมลงทุนนั้นมีหลายประเภทเช่น หุ้นสามัญ พันธบัตร หุ้นกู้ ทองคำ เป็นต้น แม้ว่า กองทุนรวมได้รับการบริหารโดยผู้จัดการกองทุนมืออาชีพ แต่ผู้ลงทุนก็มีโอกาสขาดทุนจากการลงทุนในกองทุนรวมได้ เช่น ในช่วงที่ตลาดหุ้นเป็นขาลง  การลงทุนในกองทุนหุ้นระยะสั้นมีโอกาสได้ผลตอบแทนติดลบหรือขาดทุนได้ ดังนั้น ผู้ลงทุนจึงควรทำความเข้าใจถึงสินทรัพย์ที่กองทุนลงทุนว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร เพื่อให้สามารถรับมือกับความผันผวนจากการลงทุนที่อาจเกิดขึ้นได้

พูดง่ายๆก็คือฝากเค้าไปลงทุนหรือเล่นหุ้นให้เรารวมกับคนอื่นๆที่เค้าไปฝากเล่นเหมือนกัน เหมือนเราเป็นลูกทัวร์ที่มารวมๆกันแล้วเลือกว่าจะให้ไกด์คนไหนพาไปเที่ยว ทีนี้เราจะเลือกตัวไหน กองไหน ก็ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงที่เรารับได้ High risk high return เสี่ยงมากๆโอกาสได้ก็มากเช่นกัน แต่ก็มีความเสี่ยงสูงที่เราจะขาดทุนได้ค่ะ

อ้างอิงข้อมูลจากตำราเรียน และเว็บ 
http://k-expert.askkbank.com/Article/Pages/A2_086.aspx
http://www.start-to-invest.com/webedu/content.html;jsessionid=6C5FA5160573CA643A8BE735F07303BA?menu_id=449

กองทุนรวม คือเครื่องมือในการลงทุน สำหรับผู้ลงทุนรายย่อย ที่ประสงค์จะนำเงินมาลงทุน

ตราสารหนี้  คือตราสารแสดงความเป็นหนี้  หรือสัญญาเงินกู้ที่บริษัทออกให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป  โดยสัญญาว่า  จะใช้เงินตามกำหนดและจ่ายดอกเบี้ยตามกำหนด

ประเภทตราสารหนี้
1. ตราสารหนี้ภาครัฐ
*พันธบัตรรัฐบาล
* พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ
* พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย
* พันธบัตรกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
* ตั๋วเงินคลัง

2. ตราสารหนี้ภาคเอกชน
ก. หุ้นกู้
  * หุ้นกู้มีประกัน
  * หุ้นกู้ไม่มีประกัน
  * หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ
  * หุ้นกู้ดอยสิทธิ
ข. ตั๋วแลกเงิน
ค. ตั๋วสัญญาใช้เงิน
ง. บัตรเงินฝากแลกเปลี่ยนมือได้

3. ตราสารอนุพันธ์
ก. ตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน (Hybrid)
ข. ใบสำคัญแสดงสิทธิ (Warrant)
ค. ใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ (Derivative Warrant)
ง. ตราสารสิทธิในการซื้อหุ้น (Stock Option)
   *Call Option
   * Put Option
จ. ตราสารซื้อขายล่วงหน้า (Future)

ความเสี่ยงในการลงทุนในตราสารหนี้
1. Interrest Rate (Market Risk)
2. Credit (Default) Risk
3. Purchasing Power Risk
4. Reinvesment Risk
5. Rollover Risk
6. Call Risk
7. Prepayment Risk
8. Currency Risk หรือ Exchange Risk
9. Liquidity Risk
10. Event Risk

ความเสี่ยงในการลงทุน ตราสารทุน
1. Company Risk
2. Sector Risk
3. Market Risk

สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือไทย
1. บจก.ไทยเรตติ้ง แอนด์ อินฟอร์เมชั่น เซอร์วิส (TRIS)
2. บจก. ฟิตท์ เรตติ้ง ไทย (Fitch)

ผลตอบแทนการลงทุนในตราสารหนี้
1. ดอกเบี้ยรับ
2. ส่วนลดรับ
3. กำไรส่วนเกินทุน

ผลตอบแทนในการลงทุนตราสารทุน 
1. เงินปันผล
2. กำไรส่วนเกินทุน

จากหนังสือ AIMC 

ขอบคุณที่มา :http://pantip.com/