วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ข้อคิดหนังสือ :สร้างเงินล้านก่อนเรียนจบ ตอน 1

สวัสดีครับเพื่อนๆผู้ที่ชอบการอ่านบทความต่างๆ ปกติแล้วผมก็ไม่ค่อยชอบการอ่านบทความสักเท่าไร โดยเฉพาะบทความที่ยาวๆ เอ้า ไม่ชอบอ่านบทความ แต่ทำไม ! มาเขียนเองเสียเล่า ^^ อันนี้ขอสั้นๆง่ายๆได้ใจความ ว่างครับ  ว่างจนอยากลองจดบันทึกความทรงจำ หาเล่าเรื่องราวต่างๆที่ตนเดินทางผ่านไปมา เรียบเรียงลงในบล๊อกตนเอง จึงหาเรื่องเนื้อหาต่างๆจากที่นั่นที่โน่น มาจับลงในบล็อกของตัวเองสักหน่อย โดยเฉพาะจากหนังสือ ผมว่า ในจำนวนบล๊อกของคนไทย (คิดเองนะครับ..ยังไม่ได้สำรวจแบบจริงจัง) ทั้งหมดที่มีอยู่ตอนนี้ น่าจะยังไม่มีใครเขียนบล๊อกตนเองขี้นมาโดยการนำเนื้อหาจากหนังสือต่างๆหลากหลายหมวดหมู่มาเรียบเรียงให้เป็นบทความลงในบล๊อกของตนเอง  แต่สำหรับในบล็อกนี้จะขอหยิบยกเอาเนื้อหาที่เป็นคำคม ข้อคิด จากหนังสือเล่มหนึ่ง (ทั้งเล่มเลยครับ โปรดตั้งใจอ่านให้ดีๆ) ^^ จากหนังสือ สร้างเงินล้าน....ก่อนเรียนจบ เขียนโดย นานิ นิธนวกร เชิญรับชมกัน ณ บัดนาวครับ  ขอย้ำสักนิด  คัดเอาเฉพาะคำคมและข้อคิดเท่านั้นนะครับ >>>>>>>



><บทนำก่อนเข้าเรื่อง ><

"สุดยอด" ไม่ใช่แค่ว่า กล้า (อย่างเดียว) แต่น้องคนนี้มุ่งมั่น ที่สำคัญคือชีวิตผ่านการวางแผนมาแล้วตั้งแต่เด็กด้วยตนเอง  ซึ่งน่าศึกษาแนวคิดตรงนี้มาก   น้องคนนี้ทำให้เห็นว่า การมีเงินล้านนั้นทำได้จริง แม้ขณะตอนที่ยังศึกษาอยู่ โดยที่ก็ไม่ได้สูญเสียชีวิตของวัยรุ่นไป  และการเดินห้างก็ไม่ได้เป็นเรื่องต้องห้ามของความสำเร็จ
   รูปแบบของการให้ความสำคัญของการศึกษา  เรื่องของการคบเพื่อน  การปรับตัวในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ  มาพร้อมๆกับการสร้าง "โอกาส" ให้ตัวเอง 
    จุดเด่นมากๆของวัยรุ่นก็คือ "ความช่างฝัน"
     ในวัยแห่งความฝันนี่แหละ  ที่หากได้ลงมือทำสิ่งเท่ๆได้สำเร็จ ก็จะเป็นจุดเริ่มต้นที่มั่นคงมากในชีวิตอีกหลายสิบปีที่เหลือ 
     ลองคิดดูว่า  เมื่อวัยรุ่นเรียนจบ  มีเงินก้อนนึงเป็นหน้าตัก  แรงกังวลในการหางานก็จะลดลง  แนวทางในการเลือกอาชีพก็ง่ายขึ้น  การเลือกงานให้ตรงกับความชอบของตัวเองก็สะดวกขึ้น และการก่อความสุขในชีวิตหลังจากนั้นจึงไม่ใช่เรื่องยากเลย
   เรื่องราวในหนังสือเล่มนี้  ไม่ใช่หลักทฤษฎี  แต่เป็นสิ่งที่จับต้องได้และทำได้จริง ที่สำคัญก็คือน่าจะเป็น "แรงบันดาลใจ" ให้คนรุ่นใหม่เริ่มต้นทำบางอย่างในวัยที่พร้อม เมื่อน้องๆประสบความสำเร็จ รอยยิ้มไม่ได้เกิดแต่ลำพังน้องๆเท่านั้น แต่รอยยิ้มนั้้จะเกิดขึ้นกับคนทั้งบ้าน
   แรงบันดาลใจจากหนังสือเล่มนี้น่าจะสร้างคุณภาพของสังคมไทยได้อีกมาก  ผมเชื่ออย่างนั้น !

ปิยะพันธ์์  วงศ์ยรา สำนักพิมพ์สต๊อคทูมอร์โรว์


THEME 1 : เมื่อก่อน

    การที่คนเราจะประสบความสำเร็จหรือไม่ จะรวยหรือไม่ จะสร้างประโยชน์ต่อสังคมได้มากแค่ไหนนั้น  นานิคิดว่า  มันขึ้นอยู่กับ Drive ซึ่งเป็นเหมือนแรงผลักดันที่จะทำให้เราอยากประสบความสำเร็จ  อยากเก่ง อยากรวย อยากเป็นคนดี 
    แต่สาเหตุหลักที่ทำให้คนส่วนมากไม่ประสบความสำเร็จก็คือ เค้ามีความ "อยาก" ไม่พอ
     
   พ่อนานิเคยบอกว่า  วิธีคิดของคนเรานั้นสำคัญมาก  ถ้ามีวิธีคิดแบบผิดๆก็จะทำให้หลงทางในชีวิต
    
   เพราะชีวิตเราไม่ได้มีแค่ด้านเดียว  ดังนั้น เราไม่ควรจะเจออะไรแค่เพียงด้านเดียว นั่นคือ เรียนอย่างเดียว แต่ควรเปิดโอกาสให้ได้ลองอะไรใหม่ๆที่เราชอบ แค่ใช้คำว่า "และ" แทนคำว่า "หรือ" ชีวิตก็เปลี่ยนไป 
    ความอดทนนั้นสำคัญมาก  เพราะยังต้องเจอเรื่องราวหนักๆ อีกมาก ก่อนที่จะประสบความสำเร็จ ดังนั้นจึงควรจะรู้จักอดทนและเป็นนักสู้ตั้งแต่ยังเด็ก !
   พ่อบอกนานิว่า  ถ้าตั้งใจจะทำอะไรแล้วเลิกกลางทาง  โดยที่ยังไม่ประสบความสำเร็จบ้าง มันจะกลายเป็นการยอมแพ้ที่จะติดเป็นนิสัยไปจนโต
    
   เสียงที่อยู่ภายในนั้น น่าจะตรงกับคำว่า Drive  หรือ แรงขับจากภายใน  ซึ่งคนที่ประสบความสำเร็จสูงๆจะมีแรงขับตัวนี้แรงมากๆ และแรงขับที่อยู่ภายในนี้ก็คือสิ่งที่อยู่ในจิตใต้สำนึกนั่นเอง (แต่ถ้าหากว่า เราไม่มีแรงขับตัวนี้ก็พอที่สร้างขึ้นมาได้บ้าง แต่อาจไม่แรงเท่ากับผู้ที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ) 
   แรงขับหรือ  Drive  นี้   เรียกว่า  ไฟ 
    Warren  Buffett  เคยกล่าวไว้ว่า  Wealth  is  the  tranfer  of  money  from  the  impatient  to  the  patient หรือ ความมั่งคั่ง  คือการถ่ายโอนเงินจากคนที่ไม่มีความอดทน  ไปสู่คนที่อดทนและใจเย็น
 
   THEME ๒ : ตอนนี้

   การที่เราจะประสบความสำเร็จและบรรลุเป้าหมายทางด้านการเงินของเรานั้น  มันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องแค่ความสามารถในการหาเงินและการลงทุนเท่านั้น  เพราะทุกๆอย่างที่หลอมรวมเป็นตัวเราต่างหาก ที่จะตัดสินว่าเราจะรวยหรือประสบความสำเร็จได้แค่ไหน
  มั่นใจว่า  ทุกคนคงเคยติดหนี้บุญคุณใครบางคนเหมือนกัน อย่างน้อยก็ติดบุญคุณพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ที่สอนสั่งและสร้างแรงบันดาลใจให้เรา ดังนั้น  ก้าวแรกในการที่เราจะเปลี่ยน จะพัฒนาตัวเองขึ้นมานั้น เราควรจะกลับไปขอบคุณผู้มีพระคุณเหล่านั้น
   อย่าบอกตัวเองว่า ถ้ามีโอกาสแล้ว ถ้ารวยแล้ว จะกลับมาตอบแทนบุญคุณ เพราะหนึ่ง เวลามันไม่คอยใคร  และสองใครว่าต้องรวยถึงจะตอบแทนบุญคุณได้ ? ตอนนี้ถึงยังไม่มีแรงเงิน  แต่ก็อย่าลืมว่าเรายังมีแรงนะ
   คิดเสมอว่า แค่ตอบแทนบุญคุณมันไม่เท่พอ ! มันต้องสานต่อด้วย นั่นคือเอาสิ่งดีๆที่เราได้รับมาไปช่วยคนอื่นต่อ
  การที่เรายึดหลักเรื่องสานต่อบุญคุณนั้น มันจะช่วยมาเป็นแรงส่งให้ Drive เราแรงขึ้น เพราะมันเป็นเหมือนพันธะสัญญาที่เราจะต้องทำ ต้องรับผิดชอบ
  เคยมีคนพูดไว้ว่า "ถ้ารู้ตัวว่า กำลังขุดหลุมให้ตัวเองอยู่  สิ่งที่ควรทำเป็นอันดับแรกคือหยุดซะ"
  Bill  Gates เคยพูดไว้ว่า If  you  are  born  poor, it's  not  your  mistake. But  if  you  die  poor, it's definitely your  mistake. แปลว่า  เกิดมาจนไม่ใช่ความผิดของคุณ  แต่ตายไปอย่างคนจน  อันนั้นความผิดคุณแน่นอน
   การที่เราเขียนเป้าหมายไว้อย่างเดียวมันก็คงไปไม่ถึง เพราะฉะนั้น  นอกจากจะต้องเตือนตัวเองว่าเรามีเป้าหมายอะไรแล้ว เราก็ต้องเตือนตัวเองให้เริ้มก้าวเข้าไปหาเป้าหมายด้วย .....วันละก้าวก็ยังดีนะ =)
   ลองนึกดูว่าทำไม  เราถึงอยากรวย  รวยแล้วอยากทำอะไร ? มันสำคัญมากๆนะ  เพราะว่า  คนส่วนมากที่ไม่รวย  สาเหตุหลักๆก็คือไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องรวย พูดง่ายๆว่า  อยากรวยไม่พอนั่นเอง  และนี่แหละที่ทำให้พลังในตัวเราที่คอยผลักดันให้เราก้าวไปข้างหน้ามันไม่แรงพอ หลายคนที่ท้อก็จะเริ่มใช้ข้ออ้างต่างๆนานาที่เจอบ่อยก็คือ  "จะรวยไปทำไม ขอแค่มีความสุขก็พอแล้ว"  แล้วเคยถามตัวเองมั้ยว่าทำไมเราไม่ทั้ง รวย  และ  มีความสุข  ไปเลย ?
   เงินซื้อความสุขไม่ได้  แต่เงินซื้ออิสรภาพได้ เงินทำให้เรามีเวลา   และเงินก็ทำให้เรามีกำลังทรัพย์ไปใช้ในสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขได้มากขึ้น
   เพราะเป้าหมายจะเป็นเครื่องมือเตือนความจำว่า เรากำลังทำอะไรอยู่ และควรทำอะไรต่อไปเพื่อที่จะทำให้ตัวเองกระเถิบไปใกล้เป้าหมายให้ได้อีกก้าวนึง
  แต่การที่เราเขียนเป้าหมายไว้อย่างเดียว มันก็คงไปไม่ถึง เพราะฉะนั้น นอกจากจะต้องเตือนตัวเองว่าเรามีเป้าหมายอะไรแล้ว  เราก็ต้องเตือนตัวเองให้เริ่มก้าวเข้าไปหาเป้าหมายด้วย
  แต่ปัญหาก็คือ คนส่วนใหญ่ "อยากไม่พอ" แล้วอีกอย่างก็คือ ชอบผัดวันประกันพรุ่ง
 ตอนแรกไม่เชื่อว่า เก็บตังค์แค่นิดๆหน่อยๆมันจะช่วยอะไรได้ แต่พอได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับความอลังการของดอกเบี้ยทบต้น   ก็เลย Oh  My  God  ! ทุกบาททุกสตางค์มีค่าขึ้นมาเลยทีเดียว
   จำไว้ว่า "อย่าดูถูกพลังของดอกเบี้ยทบต้น"
    การที่เด็กอย่างเราจะหาเงินตั้งล้านนึงได้นั้น มันแปลว่าเราต้องหมั่นเรียนรู้อยู่เสมอ ซึ่งตรงที่เราได้เปรียบพวกผู้ใหญ่โตๆที่อาจจะมีตำแหน่งการงานสูงขึ้น ยุ่งขึ้น แต่เด็กอย่างเราก็ยังมีเวลาคอยไปสัมมนาหรือไม่ก็อ่านหนังสือเกี่ยวกับการเงินการลงทุน
   การไปสัมมนาและการอ่านหนังสือ  เป็นเหมือนการเปิดหูเปิดตา รับข้อมูลและแนวคิดใหม่ๆซึ่งมีประโยชน์มาก  เพราะเราอายุน้อย ด้อยประสบการณ์  บางทีบางเรื่องหลายคนจะคิดว่ารู้แล้ว  แต่จริงๆเชื่อเหอะ เรายังรู้ไม่จริงหรอก  การที่เราบอกตัวเองว่า "เออ อันนี้รู้ละ  ไม่ต้องฟังก็ได้" มันเป็นการตัดโอกาสการเรียนรู้ของตัวเองไปอย่างน่าเสียดาย
   เพราะฉะนั้น  ถ้ามีคนที่มีความรู้มาพูดอะไรกับเรา  ก็ฟังๆเค้าไปเถอะ  แล้วจะได้อะไรกลับมาคิดพิจารณาเล่นที่บ้านอีกเยอะ
   การลงทุนนั้น  ลงทุนได้ในทรัพย์สิน  4  แบบ  คือ  
   หนึ่ง = บริษัท/ธุรกิจของตัวเอง   สอง = อสังหาริมทรัพย์    สาม = Commodity (ทองคำ เงิน น้ำมัน)          สี่่ = Paper asset  เอกสารแจ้งสิทธิ (ก็คือ  พวกหุ้น  ตราสารหนี้  สัญญาซื้อขายต่างๆรวมทั้งกองทุนด้วย)
   เพราะฉะนั้น บอกตัวเองเสมอว่า  อย่าอวดรู้ อย่าอวดเก่ง  เพราะมันอาจจะทำให้เราพลาดโอกาส พลาดความรู้ดีๆก็ได้
   บางที  เคล็ดความสำเร็จ  มันอาจจะมาแบบเป็นเสียงกระซิบก็ได้  ต้องคอยฟังให้ดี
   เวลาเพื่อนๆจะเปลี่ยนตัวเอง ก็ต้องเริ่มจากการเปิดโลกของตัวเองให้มากขึ้น  ไม่งั้นเราก็จะไม่มีความรู้ใหม่ๆมาปรับใช้  มาเปลี่ยนชีวิตของเราให้เป็นไปในทางที่ดีขึ้น ดังนั้นอย่าปิดกั้นความรู้ของตัวเองเลย
   เพราะฉะนั้น เวลาเพื่อนๆได้เจอคนใหม่ๆพยายามฟังให้มากขึ้น  พยายามถามมากขึ้น  อย่าเอาแต่พูดอย่างเดียว  บางทีคนที่เราคุยอยู่ด้วย  อาจจะเป็นผู้มีประสบการณ์  เป็นนักธุรกิจร้อยล้าน  พันล้าน ที่เราไม่รู้จัก  ถ้าเราเอาแต่พูด  ไม่ถาม ไม่ฟังเรื่องของเค้า เราก็จะเสียโอกาสการเรียนรู้ไปโดยใช่เหตุ  XD
      
ถ้าคิดว่าตัวเองเก่งมาก รู้ทุกเรื่อง  ไม่เคยพลาด 
ก็พกแต่ปากกากับดินสอ   อย่าพกลิควิด
กับยางลบนะ
-นานิ-

   การหาเงินและบริหารเงินก็เหมือนการเล่นไพ่โปกเกอร์ เราจะไม่แพ้หรือหมดตัว ถ้าเรารู้จักหมอบ ในบางครั้งเรื่องดวงก็มีส่วนช่วยให้เราชนะแค่ 100 %  เท่านั้น
   การบริหารเงินของเราก็เหมือนกันเลย ถ้าเราวางแผนผิดลงทุนไปแล้ว มันไม่เป็นไปตามที่เราคาดไว้ ก็ควรจะพยายามปรับกลยุทธ์ 
   แบบนี้คือการหมอบหรือปรับแผนที่ดี การไม่ยอมรับความจริงว่าไพ่เปลี่ยนไปแล้ว ยังไปวางเดิมพันเพิ่มอีก มันอาจจะทำให้เราเสียมากกว่าได้
    เราไม่ควรจะยึดติดกับความคิดเก่าๆหรือแผนเก่าๆ  โดยคิดว่า  การปรับแผนหรือแม้กระทั่งการ  Cut Loss  หรือขายขาดทุนมันไม่เท่  จริงๆแล้ว  การไม่ยอมรับความผิดพลาดของเรา  แล้วปล่อยให้ตัวเองจมลงไปเรื่อย ๆ กับเรือแห่งความหยิ่งของตัวเองต่างหากที่ไม่เท่   เราควรจะรู้จักปรับตัวไปกับสถานการณ์ต่างๆ
   หมอบตอนนี้  แล้วถึงเวลา  เราอาจจะกลับมาชนะเกมได้เมื่อสถานการณ์กลับมาทำให้เราได้เปรียบ =)
   เวลาที่มีอะไรร้าย ๆ เข้ามาในชีวิต มันอาจจะไม่ใช่เรื่องร้ายก็ได้  แต่มันอาจจะกลายเป็นดีขึ้นมา
   เพราะฉะนั้น  เวลาเพื่อนๆคิดจะหาเงิน  จะลงทุน  หรือเวลามีอะไรผิดพลาดเข้ามา  ก็อย่าไปยอมแพ้
   เพราะ " มันอาจจะดีก็ได้ "
 
   ข้อคิดที่ 12  แบ่งเงินให้ดี  เงินออม #  เงินลงทุน 
    
   ในการจะทำเงินให้ได้เยอะๆ เราควรตั้งกฏและวินัยส่วนตัวในการลงทุน  การเก็บ  และการจัดสรรเงิน
   ซึ่งนานิมีกฏการลงทุนแค่  2  ข้อก็คือ
 
    ๑.เงินลงทุน  เข้าพอร์ตไปแล้วห้ามนำออกมา = การไม่เอาเงินลงทุนออกมาใช้นั้น  มันจะทำให้เงินลงทุนของเราได้รับพลังดอกเบี้ยทบต้นอย่างเต็มที่  ถ้าจำเป็นต้องใช้  ให้ใช้เงินออม
    ๒.ทุกเดือนต้องมีเงินใหม่ใส่เข้าไปในพอร์ต = ไม่ว่าจะยังไง จะต้องมีเงินใหม่ใส่เข้าไปในพอร์ตลงทุนของเราทุกเดือน ไม่ว่าจะน้อยแค่ไหนก็มีค่า (แค่เดือนละพันก็มีผลลัพธ์ที่อลังการเว่อร์ !)

    ก่อนที่เราจะมีเงินมาลงทุน  และมีเงินออมไว้ใช้ยามจำเป็น (จะได้ไม่ต้องแตะเงินลงทุน) เราก็ต้องมีการจัดสรรเงินที่ถูกต้อง ก่อนจัดสรร  เราต้องดูก่อนว่ามีรายได้กีทาง
     เงินที่ได้มาทั้งหมด นอกจากค่าขนมที่จะใช้ประทังชีวิตไปประมาณ 90 % ของที่ได้  นานิจะแบ่งแบบนี้
     ลงทุน   70 %     ให้รางวัลตัวเอง  0.5 %    เงินออม  10 %   ให้พ่อ - แม่   5- 10 %    บริจาค  0 - 5 %
     
     อย่าปล่อยให้เวลาผ่านไปเรื่อย ๆ เพราะไฟในตัวอาจจะดับได้
     ถ้าอยากมีล้านนึงให้พ่อแม่ภูมิใจก่อนเรียนจบอ่ะ  มันต้องมีเงินใหม่มาใส่เข้าไปในพอร์ตเสมอ นั่นคือการหา "รายได้พิเศษ" เข้ามานั่นเอง
      ถ้าเราหัดลงทุนให้เก่งขึ้นเรื่อยๆ  ได้กำไรต่อปีมากขึ้นเรื่อยๆ แถมเรายังมีเงินใหม่ที่เป็นรายได้พิเศษใส่เข้ามาลงทุนเพิ่มอยู่เสมอ ซึ่งเป็นเงินที่ได้มาจาการที่เราทำสิ่งที่เราชอบ แล้วค่อยๆทำมากขึ้น มากขึ้น  ลองคิดดูละกันว่า  ผลลัพธ์ของการทบต้นมันจะ ! แค่ไหน

โปรดติดตามตอนต่อไป >>>> The  End
      


วันพุธที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2556

คุณคิดว่า"อายุ"กับ"ความสำเร็จ" มันเกี่ยวกันมั้ย?

คุณคิดว่า"อายุ"กับ"ความสำเร็จ" มันเกี่ยวกันมั้ย? 


เฮนรี่ ฟอร์ด มหาเศรษฐีของสหรัฐอเมริกา ต้องรอจนกว่าเขาอายุได้ 40 ปี จึงประสบความสำเร็จในสิ่งที่คิดไว้, เรย์ คร็อค เริ่มสร้างอาณาจักรฟาสต์ฟู้ดส์ แม็คโดนัลด์ จนโด่งดัง เมื่ออายุ 50 ปี 
อีกคนมั้ย.. ผู้พันแซนเดอร์ ต้องรอให้สูตรไก่ทอดของเค้าเป็นที่ยอมรับ ก็ต้องรอโน่นแหน่ะ..จนกระทั่งอายุ 60 ปี แม้แต่ โรนัลด์ เรแกน กว่าจะได้เป็นประธานาธิบดีของอเมริกา ก็เมื่ออายุ 70 ปี 

       ดังนั้น   อย่าปล่อยให้คำว่า "สายเกินไป, อายุมากแล้ว, แก่แล้วอ่ะ" มากระซิบข้างหู   จงพยายามหา    โอกาสรอบๆตัว  ใฝ่รู้  ศึกษาความเป็นไปได้   สุดท้ายและสำคัญที่สุดคือ "ลงมือทำ"  อย่าลืม!  ความสำเร็จไม่ได้มาเร็วเหมือนกระพริบตา   แต่ถ้าหามาทั้งชีวิต  แล้วยังไม่เจอ ก็ค่อยว่ากัน  

ขอบคุณที่มาจาก เพจ :ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ รวมธุรกิจไทย

วันจันทร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ทำงานอาสาให้เหมือนผ้าเช็ดพื้น

*ทำงานอาสาให้เหมือนผ้าเช็ดพื้น *

อาสางานต่ำ
ทำความสะอาดพื้นที่
กำจัดธุลีที่พื้นและเท้า



คือ 


ช่วยงานที่ผู้ใหญ่ทำไม่ได้หรือผู้ใหญ่ไม่ควรทำ
มีน้ำใจต่อผู้ที่ตนเองอยู่อาศัย
เฝ้าคอยดูสิ่งที่ขัดข้องและจ้องช่วยแก้ไข


ด้วยการ



ช่วยทำงานบ้าน

ช่วยทำงานโรงเรียน

อย่าผลัดเพี้ยนหน้าที่

มีใจยินดีที่ได้ทำประโยชน์


เขียนโดย : พระราชวิจิตรปฏิภาณ  วัดสุทัศนเทพวราราม  
จากหนังสือทฤษฎีบัวพ้นน้ำ

วันพุธที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เสียงพระอาทิตย์






     มีชายคนหนึ่ง  ตาบอดทั้ง 2 ข้างมาตั้งแต่กำเนิด จึงไม่รู้จักสีสันรูปพรรณสัณฐานของสิ่งต่าง ๆ มีอยู่วันหนึ่ง เขาได้ยินคนยืนคุยกันเรื่องพระอาทิตย์

      ชายคนแรกพูดว่า... "4 - 5 วันมานี้  ฝนตกทุกวัน ฟ้าครึ้มตลอดทั้งวัน ทำให้รู้สึกซึมเศร้า แต่วันนี้ฟ้าโปร่งแล้ว  มองเห็นพระอาทิตย์ด้วย  ฉันรู้สึกดีใจจริง ๆ"
      ชายคนที่ 2  พูดขึ้นมาบ้างว่า  "ตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิ  อากาศไม่ร้อนไม่หนาว  แสงแดดอันส่องสาดอยู่บนตัวเรา ช่างให้ความรู้สึกสุขสบายอะไรเช่นนี้"
      ชายคนที่  3  กล่าวว่า  "แต่พอถึงหน้าร้อน  เมื่อพวกเราทำงานในนา  แสงแดดที่แผดกล้าทำเอาทุกคนเหงื่อท่วมตัวไปหมด   ถึงตอนนั้นพวกเราต่างก็คิดอยากหาที่หลบแดดแล้ว"
   ชายคนที่  4  กล่าวสรุปว่า  "ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม  ถ้าหากไม่มีพระอาทตย์แล้วละก็  น่ากลัว มนุษยชาติคงไม่สามารถดำรงอยู่ได้อีกต่อไป"

     ชายตาบอดคนนั้นได้ฟังคำพูดเหล่านี้แล้ว  รู้สึกน่าสนใจ จึงเดินไปหยุดตรงหน้าคนกลุ่มนั้น ถามอย่างสุภาพอ่อนน้อมว่า "ขอเรียนถามทุกท่าน พระอาทิตย์จริง ๆ แล้วมีลักษณะอย่างไร"
   ชายกลุ่มนั้นถูกถามจนนิ่งงันไป ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี เงียบไปสักครูหนึ่ง  ชายคนหนึ่งก็บอกไปว่า "พระอาทิตย์เป็นของที่มีลักษณะกลม ๆ เหมือนถาดทองแดงที่ส่องแสงออกจากตัว"

     แต่ทว่าอะไรเรียกว่า "กลม" อะไรคือการ "ส่องแสง" อะไรเรียกว่า "ถาดทองแดง" ชายตาบอดคนนั้นล้วนไม่รู้จัก
    ชายคนนั้นไม่รู้จะทำอย่างไรดี  ได้แต่เคาะถาดทองแดงในมือตัวเองพลางบอกว่า "ก็คือของอันนี้แหละ  แกเข้าใจหรือยัง"
         ชายตาบอดพยักหน้างึกงัก  แสดงท่าว่าเข้าใจแล้ว
        วันถัดมา  ชายตาบอดคนนั้นเดินผ่านหน้าวัดพอดีกับเป็นเวลาพระเคาะระฆัง พอเขาได้ยินเสียงระฆังก็รู้สึกคล้ายกับเสียงเคาะถาดทองแดงที่ตนได้ยินเมื่อวาน เขาดีใจมาก ร้องตะโกนเสียงดังว่า "ทุกคนฟัง นี่ก็คือเสียงของพระอาทิตย์"

          ท่านสาธุชนทั้งหลาย...
 
      ผู้คนในโลกต่างก็ทำความเข้าใจสิ่งต่าง ๆ โดยอาศัยการเปรียบเทียบกับประสบการณ์เดิมของตน หากสิ่งใดเป็นสิ่งที่พ้นเกินกว่าประสาทสัมผัสของมนุษย์ทั่วไปจะรับรู้ได้ มนุษย์ย่อมไม่เข้าใจสิ่งนั้น เพราะเหตุนี้เอง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงอธิบายลักษณะของพระนิพพานด้วยการปฏิเสธว่า ไม่ใช่พระอาทิตย์  พระจันทร์  หรือสิ่งใด ๆ ที่มนุษย์ในโลกรู้จัก  แต่ทรงรับรองว่า   อายตนะนั้นมีอยู่ แต่ทว่าชาวโลกอีกไม่น้อยที่ปฏิเสธการมีอยู่ของทั้งพระนิพพาน นรก สวรรค์ บุญ บาป กฏแห่งกรรม  เพราะถือว่าตัวไม่เห็น  พวกเราทุกคนอย่าเป็นอย่างนั้นนะ ขอให้ตั้งใจปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระธรรม  สามารถไปรู้ไปเห็นสิ่งเหล่านี้ด้วยตัวของเราเอง ด้วยญาณทัสสนะของพระธรรม  แล้วเราจะรู้ว่า เราเกิดมาจากไหน  เกิดมาทำไม  มีหน้าที่อะไร  ตายแล้วเราจะไปไหน  ซึ่งเป็นความรู้พื้นฐานที่ทำให้เราเป็นบุคคลที่ตื่นแล้ว  พร้อมจะก้าวเดินไปสู่ความสุขความสำเร็จที่นิรันดร์
 

ปัญหาเรื่องพระอาทิตย์

        เมื่อครั้งที่ขงจื้อ เดินทางท่องเที่ยวไปตามแคว้นต่างๆ ของจีน มีอยู่คราวหนึ่งขณะที่วิ่งรถไป ขงจื้อเห็นข้างถนนมีเด็ก 2 คนกำลังถกเถียงกันอยู่  ขณะนั้นขงจื้อนั่งบนรถ ห่างจากเด็กพอสมควร ได้ยินไม่ชัดว่าเด็กเถียงกันเรื่องอะไร แต่เห็นว่าเด็กทั้งสองคนเถียงกันอย่างหน้าดำหน้าแดง  เสียงที่พูดยิ่งมายิ่งดัง ดูท่าทีจะลงมือลงไม้กันแล้ว ขงจื้อจึงลงจากรถ เดินไปหาเด็กทั้งสอง ตั้งใจจะช่วยไกล่เกลี่ย ถามเด็กทั้งสองว่า... "พวกเธอกำลังเถียงกันเรื่องอะไร
           เด็กคนหนึ่งพูดว่า  "คุณลุง คุณลุงคือใครครับ เรื่องที่คุณลุงรู้ จะต้องมากกว่าที่พวกผมรู้แน่ๆ ขอเชิญคุณลุงช่วยเป็นกรรมการตัดสินให้พวกผมด้วยนะครับ"
      ขงจื้อตอบว่า "ฉันคือขงจื้อแห่งแคว้นหลู่ เชิญบอกฉันก่อนว่าพวกเธอกำลังถกเถียงกันเรื่องอะไร"
    เด็กอีกคนหนึ่งพูดว่า "ที่แท้ คุณลุงคือขงจื้อ คุณลุงต้องสามารถตัดสินปัญหานี้ให้พวกเราได้แน่ๆ เพราะใครๆ ก็รู้ว่าคุณลุงเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในโลก"
               ขงจื้อพูดว่า "รีบบอกปัญหาให้ฉันฟัง"        เด็กคนหนึ่งพูดว่า "ผมคิดว่าพระอาทิตย์ เมื่อตอนเพิ่งโผล่พ้นขอบฟ้าในเวลาเช้าอยู่ใกล้ เวลาเที่ยงอยู่ไกลจากตัวเรา"
      เด็กอีกคนหนึ่งรีบพูดขึ้นทันทีว่า "ที่เขาพูดไม่ถูก ผมคิดว่าพระอาทิตย์ตอนเช้าอยู่ไกล  ตอนกลางวันอยู่ใกล้คนเรา"
       ขงจื้อพูดว่า "พวกเธอลองพูดเหตุผลของตัวเองมาดู"
    เด็กคนแรกพูดว่า "พระอาทิตย์ตอนเพิ่งพ้นขอบฟ้าเวลาเช้าดวงกลมโต โตพอๆ กับล้อรถเลย แต่พอกลางวันก็เล็กลงเหลือขนาดราว ๆ ชามข้าวเท่านั้น  สิ่งของยิ่งอยู่ไกลก็ยิ่งดูเล็ก เ พราะฉะนั้นแสดงว่า  พระอาทิตย์ตอนเช้าอยู่ใกล้ ตอนกลางวันอยู่ไกล"
     เด็กอีกคนหนึ่งพูดว่า "ผิดโดยสิ้นเชิง ตอนเช้าพระอาทิตย์เพิ่งออกมา พวกเรารู้สึกเย็นสบาย พอถึงตอนเที่ยงก็ส่องแสงจนคนเหงื่อท่วมตัว เวลาเราอยู่ใกล้ไฟก็จะรู้สึกร้อน ถ้าอยู่ห่างออกมาก็ไม่ค่อยรู้สึก ดังนั้น  ผมคิดว่าพระอาทิตย์ตอนเที่ยงอยู่ใกล้"
       พอเด็กสองคนพูดจบ  ก็ถามขงจื้อว่า  จริงๆ แล้วความคิดของพวกตนของใครถูก
     ขงจื้อดูเหมือนได้รับความลำบากจากปัญหานี้แล้ว นิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ไม่รู้จะตอบอย่างไร และตอบเด็กไปว่า "ฉันยังไม่อาจตัดสินโดยเด็ดขาดได้ว่า ความคิดของพวกเธออันไหนถูก เพราะฉันยังไม่เคยค้นคว้าวิจัยเรื่องนี้มาก่อน"
     เด็กสองคนนั้นคิดในใจว่า ขงจื้อได้ชื่อว่าเป็นนักวิชาการที่เก่งที่สุด แต่ปัญหานี้แม้กระทั่งขงจื้อยังตอบไม่ได้ แล้วพวกเราเพิ่งมีความรู้สักเท่าไรเชียว ถึงได้ปักใจมั่นหัวชนฝาว่าความคิดของตนเองถูก ช่างเป็นเรื่องไม่สมควรจริงๆ
        
       ท่านสาธุชนทั้งหลาย...
 
      เราเคยเป็นคนดื้อปักใจมั่นเชื่อในความคิดของตนเอง จนไม่ยอมรับฟังความคิดคนอื่นบ้างไหม  แก้วน้ำที่ปิดฝาอยู่ต่อให้เอาน้ำมาเทสักโอ่ง ก็คงไม่เข้าสักหยด แต่ถ้าเปิดฝาออก เทน้ำลงไปประเดี๋ยวก็เต็มเปี่ยม  ถ้าเราเปิดใจให้กว้าง เราจะได้เรียนรู้อะไรต่างๆ มากมาย ไม่เป็นกบในกะลาครอบ และขอให้ดูตัวอย่างขงจื้อ แม้ได้รับยกย่องว่าเป็นปราชญ์ใหญ่ในยุคนั้น แต่เมื่อเจอเรื่องที่ตัวไม่รู้ ก็บอกตรงๆ ว่าไม่รู้  ไม่มีอาการกลัวหน้าแตก   แล้วตอบโมเมส่งเดชไป  คนไม่รู้แล้วไม่ชี้ยังดี ที่กลัวคือคนไม่รู้แต่ชี้ แล้วชี้ผิดๆ พาคนอื่นเข้าใจผิดตามๆ กันไปด้วย
     ความรู้ต่างๆ ในโลกนี้ที่เกิดจากการขบคิดไตร่ตรองด้วยเหตุผล   ไม่ว่าจะเป็นความคิดของนักวิชาการที่เก่งเพียงใด ก็ล้วนมีโอกาสผิดพลาดทั้งสิ้น ทฤษฎีต่างๆ ในโลกตั้งขึ้นแล้วก็มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เพราะเป็นความรู้ที่เกิดจากความคิด (จินตามยปัญญา) มีเพียงความรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เกิดจากการทำสมาธิภาวนา (ภาวนามยปัญญา) เท่านั้นที่ถูกต้องจริงแท้ตลอดกาล ทนทานต่อการพิสูจน์ เพราะเป็นความรู้จากใจที่สงบหยุดนิ่ง สว่างไสว ปราศจากกิเลสอวิชชาที่มาหุ้มห่อใจ เป็นความรู้ที่ทำให้พ้นทุกข์ ทำให้โลกสงบเย็น เรามาปฏิบัติธรรมเพื่อให้เข้าถึงความรู้ชนิดนี้กันเถิด

            ดังพระพุทธพจน์ที่ตรัสว่า.....


มหาสมุทรซึ่งเป็นที่ไหลมารวมกันของน้ำจากทุกสารทิศ
จะต้องมีระดับพื้นที่ต่ำกว่าพื้นที่ตรงต้นน้ำทั้งหลายฉันใด
ผู้ที่ต้องการจะรับการถ่ายทอดคุณความดีจากบุคคลทั้งหลาย
ก็จะต้องมีความอ่อนน้อมถ่อมตนก่อนฉันนั้น
(พุทธพจน์)
 

ทุกวันนี้เราใช้ชีวิตคุ้มค่า แล้วหรือยัง !


ถ้าคุณมีศรัทธา....คุณก็จะประสบความสำเร็จ




"ทุกความสำเร็จเริ่มที่ความฝัน ..ฝันอยากสร้าง อยากทำ ในสิ่งที่ไม่เคยมี ..ผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่คนที่ทำแต่สิ่งเดิมๆ ตามคนอื่นๆ แต่เป็นคนที่กล้าคิด และกล้าฝันในสิ่งที่ไม่เคยมี" ..นั่นแหละนิยามของ "โอกาส" ..มันเกิดจากการคิดสร้างและตอบโจทย์ความต้องการของ มนุษย์ ..ทำได้ดี มีประโยชน์ และไม่เคยมี นั่นคือ "โอกาส" ที่ยิ่งใหญ่ -- เต๋อ สร้าง แกรมมี่จากความฝันและความรักที่จะทำ .. Walt Disney สร้างอาณาจักรหมื่นล้านจากจินตนาการ ...ใช่!! เริ่มจากสิ่งที่ไม่เคยมี !!

ขอบคุณที่มา :เพจ Pawawit Stock Comment

วันอังคารที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2556

จิ๊กซอว์ชีวิต 29,220 ชิ้น

      กีฬาเบสบอล  ฟุตบอล และมวย  ถ้าจะดูให้สนุกในเกมการแข่งขันนั้น  ต้องมีการพลิกล๊อกเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด เช่น ตีโฮมรันจนเอาชนะทีมที่นำอยู่ได้  ได้ลูกโทษจาการฟาวส์ ชนะน๊อกเอ๊าต์  กีฬาคือการแข่งขัน  มนุษย์จึงชอบนำชีวิตมาเปรียบเทียบกับกีฬา ถ้าเช่นนั้นแล้วชีวิตของมนุษย์เองก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างไม่คาดคิด ทำให้ชีวิตแปรเปลี่ยนไปได้ทุกกรณี  ไม่ว่าจะเป็นการสอบเข้ามหาวิทยาลัย  การหางาน การแต่งงาน ฯลฯ
       แต่ "สิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน" ในการแข่งขันกีฬาทุกประเภท คือความแตกต่างเพียงเล็กน้อย เพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะ นักกีฬาจะต้องฝึกร่างกายให้พร้อมอยู่ทุกวัน  แม้เวลาและวิธีการที่ใช้ฝึกซ้อมจะแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย แต่เมื่อถึงวันแข่งขัน ก็อาจเกิดผลลัพท์ที่ยิ่งใหญ่อย่างคาดไม่ถึง

[ชีวิตของเราเป็นเสมือนจิ๊กซอว์ขนาดใหญ่
ที่จะต้องต่อ "ทีละชิ้นๆ"
ให้ประสานกันอย่างดี]

      เช่นเดียวกับการทำข้อสอบ สิ่งที่จะทำให้เราทำข้อสอบได้ดี คือการเตรียมตัวอ่านหนังสืออย่างสม่ำเสมอก่อนสอบ ไม่ใช่บรรยากาศของห้องสอบ
     
      ตัวผมชอบเปรียบเทียบชีวิตกับจิ๊กซอว์มากกว่า ชีวิตของเราเป็นเสมือนจิ๊กซอว์ขนาดใหญ่ที่จะต้องต่อ "ทีละชิ้นๆ" ให้ประสานกันอย่างดี จิ๊กซอว์ดังกล่าวมีทั้งหมดมากถึง 29,220 ชิ้น  ตามอายุขัยโดยเฉลี่ยของมนุษย์ คือ 365 วัน X 80 ปี = 29,220 ชิ้น ในช่วง 80 ปีนี้ ถ้าคำนวณเดือนกุมภาพันธ์ที่มี 29 วัน อีก 20 ครั้งเข้าไปด้วย จำนวนจิ๊กซอว์ก็จะเพิ่มมากขึ้นอีก  และถ้าในอนาคตวิทยาการทางการแพทย์ดีขึ้น อายุขัยโดยเฉลี่ยของมนุษย์ก็อาจเพิ่มมากขึ้น จำนวนจิ๊กซอว์อาจมากถึง 30,000 ชิ้น
       จุดที่แตกต่างกันระหว่างจิ๊กซอว์ทั่วไปกับจิ๊กซอว์ชีวิต  คือเราสามารถเห็นภาพจิ๊กซอว์ที่สมบูรณ์แล้วก่อนลงมือต่อ  ในทางตรงกันข้ามไม่มีใครรู้ได้ว่า ภาพจิ๊กซอว์ชีวิตจะออกมาเป็นอย่างไร  จนกว่าจะต่อเสร็จ  มีเพียงตัวเราเท่านั้นที่ต้องต่อภาพนั้นขึ้นเองทีละน้อยทีละนิด

     


          ผู้คนมากมายอยากประสบความสำเร็จในชีวิตเร็วๆ ดูเหมือนว่าการประสบความสำเร็จด้วยอายุน้อย คือความหวังสูงสุดที่ทุกคนปรารถนา พวกเราดูนาฬิกาบ่อยๆเพื่อตรวจสอบว่า สิ่งที่ทำก้าวหน้าไปถึงไหนแล้ว
           แต่เรากลับลืมไปว่า สิ่งที่จำเป็นมากกว่านาฬิกาคือเข็มทิศ  เพราะความสำเร็จของชีวิตตัดสินจากจิ๊กซอว์ตัวสุดท้าย สิ่งที่สำคัญมากกว่า "ไปเร็วแค่ไหน" คือ "ไปถูกทางหรือไม่"
           นอกจากนี้  สิ่งที่จำเป็นมากกว่าเข็มทิศคือกระจก  เราต้องใช้กระจกส่องย้อนตัวเองเสมอว่า "ตอนนี้ตัวเองกำลังทำอะไรอยู่" แต่คนเรามักต้องการนาฬิกามากกว่าเข็มทิศ  ต้องการเข็มทิศมากกว่ากระจก
            ความสำเร็จของชีวิต  ไม่ใช่ความสำเร็จยิ่งใหญ่เพียงครั้งเดียว  แต่เป็นการถักทอชัยชนะขึ้นทุกวัน การเฝ้ารอชัยชนะแบบพลิกล๊อกหรือรอจุดเปลี่ยน เป็นการเสียเวลาชีวิตในแต่ละวันไปโดยเปล่า  ยิ่งเป็นคนที่ไร้ความสามารถ  ก็จะยิ่งชอบจินตนาการว่า "สมมติว่าเป็นแบบนั้น....ถ้ามีโอกาสแบบนี้...." จงอย่าสมมติ  ให้ลงมือทำเลยในตอนนี้  จงปลูกเมล็ดความฝันให้ผลิบานขึ้นจริงในทุกๆวัน เวลาวัตถุดิบสร้างวิญญาณให้มนุษย์

             การเลิกบุหรี่ถือเป็นการตัดสินใจหนึ่ง.....ที่ยากลำบากที่สุดในชีวิต  บางคนปฏิญญาณอย่างมุ่งมั่นว่า "จะเลิกให้ได้ภายในวันที่ 1 มกราคม" นี่ไม่ใช่คำสัญญาว่าจะเลิกภายในวันที่ 1 มกราคม  แต่เป็นการปลอบใจตัวเองว่า เรายังสามารถสูบบุหรี่ได้จนถึงวันที่ 31 มกราคม คนที่คิดว่า "อดบุหรี่วันนี้สักวันดีกว่า" แล้วค่อยๆทำไปเรื่อยๆทุกวัน อาจประสบความสำเร็จมากกว่าด้วยซ้ำ
              จงอย่ารอคอยปาฏิหาริย์หรือการพลิกล็อกใดๆในชีวิต  ให้ลงมือปฏิบัติจริงในตอนนี้เลย เมื่ออยู่ต่อหน้าปัญหาที่มองไม่เห็นทางแก้   จงอย่ากังวลใจว่า "ต้องทำอย่างไร" แต่จงไตร่ตรองอย่างรอบคอบว่า "วันนี้ฉันจะสามารถทำอะไรเพื่อแก้ไขปัญหานี้ได้บ้าง"

             มีใครคนหนี่งกล่าวไว้ว่า "ต่อให้เราสามารถย้อนเวลากลับไปในอดีต ก็ไม่มีทางแก้ไขอดีตได้ แต่ถ้าเริ่มต้นใหม่ในตอนนี้ จะสามารถเปลี่ยนผลลัพท์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้"
              จงร่างภาพจิ๊กซอว์ของชีวิตคุณตั้งแต่ตอนนี้  จงจินตนาการถึงภาพขนาดใหญ่ของชีวิตที่อยากเห็นในวันสุดท้ายเมื่อต้องการลาจากโลกนี้ไป  ถ้าคิดว่า  วันนี้เป็นจิ๊กซอว์ชิ้นหนึ่งของชีวิต  หากจิ๊กซอว์ชิ้นนี้ขาดหายไป คุณจะรู้สึกเสียดายมากแค่ไหน
    

วันจันทร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2556

คิดก่อนพูด

    ก่อนจะว่าคนอื่นหรือติคนอื่นนั้น ควรจะมองมาดูที่ตัวเองบ้าง
อย่าหลงระเริงไปตามความคิดของคนอื่น โดยไม่พิจารณาถ่องแท้ว่าสิ่งไหนจริงหรือเท็จ ทางพระเรียกว่าโยนิโสมนสิการ คืออาการใช้ความคิดพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วน กลั่นกรองเนื้อหาให้ดีก่อนพูด เพราะว่าสิ่งนั้นจะสร้างให้เราเกิดมิจฉาทิฏฐิโดยไม่รู้ตัว อย่าเอาตัวเองลอยไปตามสายน้ำความคิดคนอื่น 

by.ณ สิทธิ

วันเสาร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ทุกสรรพสิ่งย่อมมีเกิดมา และดับสลายไป 
ตามกาลเวลาของมัน ขอเพียงใจเรายังคงมั่นและมั่นคง
ไม่หวั่นไหวแปรเปลี่ยนตามสภาพ ต้องยึดศรัทธาของเราไว้
อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด ทุกสรรพสิ่งย่อมมีหน้าที่ๆต้องท
เราเพียงทำหน้าที่ของเราไว้ เมื่อมันดับสลายมันก็แค่มีหน้าที่เก็บไว้
ในความทรงจำเท่านั้นเอง

by. ณ สิทธิ

วันพฤหัสบดีที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2556

จงพาชีวิตไปตามการตัดสินใจ

      ทุกครั้งที่ได้ยินคำว่าแม่ หัวใจของเราจะรู้สึกซาบซึ้งอย่างบอกไม่ถูก  ในชาวงที่ปากเอ่ยคำว่า "แม่" ราวกับว่าความเสียสละที่ิยิ่งใหญ่ของแม่ที่มีต่อลูกจะแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายของเรา ในโลกใบนี้จะมีใครเสียสละเทียบเท่าแม่ของเรา
       แม่เป็นผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดูลูก หุงหาอาหารให้กิน ความเสียสละของแม่มีมากล้นจนเกินจะพรรณนา ในช่วงเรียนประถม มัธยมต้น มัธยมปลาย แม่ปลุกเราแต่เช้ามืดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยใจ แต่ทว่าแม่กลับไม่เคยให้ลูกนอนดึกกว่า  หรือตื่นเช้ากว่าสักครั้ง  จะมีกี่ครั้งกันที่เราเห็นแม่นอนหลับก่อน ต้องเตรียมค่าเรียนพิเศษไว้ให้ลูกพอดิบพอดีทุกครั้งไป ในวันหนึ่งผมได้เห็นแววตาของแม่ที่คาดหวังในตัวผม...

[แม้ว่าค่านิยมและการดำเนินชีวิต
ในสังคมจะเปลี่ยนไป แต่ความห่วง
ใยของพ่อแม่ที่มีต่อลูก..ไม่เคยเปลี่ยแปลง]      
         
         คนที่ปลอบโยนในยามที่เราเครียดหรือท้อใจ  จะเป็นใครได้ล่ะ  ถ้าไม่ใช่แม่ บางครั้งที่ลูกพลาดพลั้งทำผิด  แม่อาจเผลอเอ็ดเสียงสูง แต่ในใจลึกๆเชื่อมั่นว่าต่อไปลูกจะต้อง "ทำดีได้แน่ๆ" ในวันที่ลูกสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้  แม่เหมือนได้ยกภูเขาลุกใหญ่ออกจากอก ท่านดีใจจนน้ำตาใหล
         แม่เป็นบุคคลที่ช่วยค้ำจุนชีวิตของเรา  ไม่ว่าจะตอนนี้หรือตอนไหน ท่านก็คอยอยู่เคียงข้าง เป็นกำลังใจให้เราเสมอ
          ไ่ม่สิ  ไม่ใช่สิ   ไม่ใช่แบบนั้น...
           ตอนนี้ต้องลืมแม่ไปก่อน
           แม่ของนักเรียนชั้นประถม  มัธยมต้น  มัธยมปลายในสมัยนี้ ทำตัวเจ้ากี้เจ้าการเสียยิ่งกว่าผู้จัดการส่้วนตัวของดารา  คอยจดบันทึกรายการที่ต้องทำในแต่ละวัน โทรศัพท์ติดต่อสอบถาม พาลูกไปเรียนพิเศษที่นั่นที่นู่น
           แมู่้ผู้ต้องทำงานควบคู่ไปด้วย อาจไม่ได้บงการชีวิตลูกมากขนาดนี้ แต่ถ้ามีเวลาก็พยายามดูแลการเรียนและชีวิตลูกอย่างเต็มที่
           ปัจจุบัน "สัญญาทาส" กลายเป็นปัญหาใหญ่ระหว่างนักร้องกับบริษัทต้นสังกัด ถ้าเปรียบเทียบดูแล้ว ชีวิตของลูกก็ไม่ต่างไปจากทาสเช่นกัน ก่อนจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ เรามีชีวิตอยู่ภายใต้การควบคุมและดูแลของแม่ทุกกระเบียดนิ้ว  โดยทั่วไปเป้าหมายหลักของแม่เกาหลีเกือบทุกคน คือเลี้ยงลูกให้สอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ดีให้ได้  การที่แม่เข้าไปยุ่งและจัดการชีวิตลูกถือว่าเป็นเรื่องปกติ แม้ว่าลูกอาจไม่ชอบใจทั้งหมด แต่ไม่มีใครกล้าลุกขึ้นประท้วง
           ไม่เพียงแค่ประเทศเกาหลีเท่านั้น คุณแม่ทั่วโลกต่างดูแลลูกๆอย่างใกล้ชิด ยกตัวอย่างเช่น ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาได้บัญญัติคำว่า ซอกเกอร์มัม (Soccer mom) ,ฮอกกี้มัม (Hockey mom), มินิวานมัม (Minivan mom) เพื่อใช้เรียกแม่ที่พยายามจัดการชีวิตของลูกๆนั่นเป็นเพราะการเล่นกีฬาในสนามใหญ่ๆหรือการขับรถคันโตต้องการใช้พลังมหาศาลควบคุม ซาราห์ พาลิน อดีตผู้สมัครชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาก็เคยยอมรับว่าเธอคือฮอกกี้มัม
            นอกจากนี้ยังมีคำว่า เฮลิคอปเตอร์มัม หมายถึงแม่ผู้พยายามวนเวียนอยู่รอบๆลูกตลอดเวลา และมีคำว่าแบล๊กฮอว์กมัม (เฮลิคอปเตอร์ทรงอานุภาพจากภาพยนตร์เรื่องแบล๊กฮอว์กดาวน์ ) หมายถึง คุณแม่ผู้รู้ข้อมูลของลูกอย่างละเอียดแล้วนำไปสั่งการทุกคนที่อยู่รอบตัวลูก
             ถ้าฟังที่แม่สั่ง  ต่อไปจะไม่มีทางเสียใจแน่นอน  พ่อเองก็เห็นด้วยกับแม่...ต้องโทรศัพท์หาวันละครึ่งครั้งนะ   รู้จักคบเพื่อนดีๆล่ะ อย่าเล่นกับเพื่อนคนนั้น  อย่าทำตัวไร้สาระแบบนี้  ตอนที่แม่อายุเท่าลูก ถ้าตั้งใจก็ทำได้นี่น่า  คณะนั้นหางานยากนะ  เข้าคณะแพทย์ดีกว่า  ต้องเรียนภาษาจีน  จะไปเ้ข้าค่ายทำไม ตระกูลของเรารุ่งเรืองทุกรุ่นรู้ไหม ก็ลูกทำแบบนี้  แล้วจะให้แม่วางใจได้ไง  แม่ไปดูที่เรียนพิเศษมาแ้ล้วนะ   ถ้าเรียนที่นี่รับรองว่าสอบเข้ามหาวิทยาลัยดีๆได้แน่  ผู้ชายต้องมีฝันที่ยิ่งใหญ่นะ  ลูกทำได้อยู่แล้ว ทำได้แน่ๆ...

[คุณคือเจ้าของชีวิตที่แท้จริง ชีวิตถูกถักทอขึ้นจากความพึงพอใจ
และความเสียใจ เพื่อให้ความสุขและทุกข์สมดุลกัน คุณจะต้องตัดสิน
ทุกอย่าง "ด้วยตัวเอง"]
             
            ข้อความเหล่านี้ถูกตีพิมพ์ลงในโปสเตอร์การประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของนักศึกษาปี ค.ศ.2010 ซึ่งภาควิชาการพัฒนาเด็กและครอบครัว  มหาวิทยาลัยโซล  เป็นผู้จัดประชุมขี้น  หัวข้อการประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นครั้งนี้คือ "หนุ่มสาวที่ยังไม่โตเป็นหนี้ความรัก : ความคาดหวังของพ่อแม่ที่มีต่อลูกในระดับอุดมศึกษา ความขัดแย้งและอิทธิพลที่ส่งผลโดยตรงต่อลูก"
             งานวิจัยนี้ต้องการสื่อให้เห็นว่า  นักศึกษาควรได้รับการยอมรับในฐานะผู้ใหญ่และมีอิสระทางความคิด  แต่เพราะส่วนใหญ่ยังถูกพ่อแม่บงการชีวิตอยู่ จึงต้องเรียกว่า "หนุ่มสาวที่ยังไม่โต"  ความคาดหวังของพ่อแม่ทำให้หนุ่มสาวที่ยังไม่โตต้องชดใช้ "หนี้ความรัก"  ด้วยการดำเนินชีวิตตามคำสั่งของพวกท่านต่อไป
              แม้จะไม่จัดการประชุมหัวข้อนี้ขึ้น  ทุกคนต่างรู้ดีกว่าชีวิตจริงเป็นอย่างไร แม่มักพูดกับลูกเสมอว่า "ลูกเรียนอย่างเดียวก็พอ ที่เหลือแม่จัดการให้เอง"
              ทั้งที่จริงๆสิ่งที่แม่ควรสอนลูกมากที่สุดคือ ความสามารถทุกอย่าง  ยกเว้นเรื่องการเรียน (การเรียนคือหน้าที่ของคุณครู) แต่กลายเป็นว่า แม่ส่้วนใหญ่ลงมือทำสิ่งเหล่านั้นให้ลูกแทน  พร้อมกับพูดว่า "ทุกอย่างเพื่อลูก"
              ปัญหาืั้ที่ตามมาคือ  หลังจากที่ลูกสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้ว หน้าทีู่้ผู้จัดการส่วนตัวของแม่ก็ยังไม่ยอมจบลงง่ายๆ พวกท่านจะเริ่มเข้ามาจัดการเรื่องสมัครงาน  แต่งงาน  มีลูก ฯลฯ ไม่จบไม่สิ้น  ผมเคยได้รับโทรศัพท์จากพ่อแม่นักศึกษาบ่อยครั้ง อาทิเช่น  ให้ลูกฉันลงเรียนวิชานี้เถอะนะคะ ,ทำไมลูกของฉันได้เกรดเฉลี่ยเท่านี้ล่ะ,ปีนี้ลูกจะเรียนจบแล้ว,ปีหน้าลูกต้องไปเรียนต่อต่างประเทศ หวังว่าอาจารย์จะเมตตาเรื่องเกรดลูกหน่อยนะคะ  เป็นต้น  มีพ่อแม่มากมายที่ยอมยืนต่อแถวเพื่อรับบัตรคิวจากสถาบันกวดวิชาหรืองานสัมมนาด้านต่างๆ บางครั้งถึงขนาดไปขอคำแนะนำจากอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการเตรียมสอบของลูก หรือไม่ก็โทรศัพท์ติดต่อหน่วยงาน เช่น บริษัทหรือกรมทหารโดยตรง

              พ่อแม่รู้ความกังวลใจในอนาคตของลูกดี ไม่เป็นไร  เดี๋ยวพวกเราจัดการให้เอง ลูกแค่ทำตามก็พอ มีภาษิตหนึ่งกล่าวไว้ว่า "ไม่มีพ่อแ่ม่คนไหนเอาชนะลูกได้" แต่สมัยนี้กลับไม่มีลูกคนไหนเอาชนะพ่อแม่ได้ แม้ว่าลูกๆต้องการอิสรภาพมากเพียงใด  แต่เพราะยังต้องขอเงินค่าขนม  ค่าเทอม  ค่าแต่งงาน ฯลฯ จากพ่อแม่อยู่ จึงไม่สามารถหนีไปไหนได้
               พ่อแม่ที่มีการศึกษาสูงหรือประสบความสำเร็จทางสังคมเป็นอย่างดี จะยิ่งบงการชีวิตของลูก เนื่องจากประสบการณ์และความรู้ที่มากกว่า ลูกๆจึงไม่สามารถโต้แย้งได้ คนหนุ่มสาวที่ถูกเลี้ยงดูมาแบบนี้ตั้งแต่เด็ก จึงถูกเรียกว่า  คนรุ่นดาวเทียม (satellite generation) หรือลูกจิงโจ้
               ถึงแม้จะบอกว่าเป็นเรื่องทั่วไำปของมนุษย์  แต่การที่แม่ทุ่มเท "ทั้งชีวิต" เพื่อเฝ้าดูแลและติดตามลูกจนเหมือนเฮลิคอปเตอร์ไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีนัก  ในบางเรื่องลูกจำเป็นต้องลืมแม่ให้ได้ก่อน
                       เพราะท้ายที่สุดแล้ว "ชีวิต" ที่แท้จริงของมนุษย์คือ "ทุกสิ่งทุกอย่าง นอกเหนือจากการเรียน"  มันคือสิ่งที่แม่รู้และทำแทนลูกมาโดยตลอด
               อายุของพ่อแม่ในศตวรรษที่ 20 น่าจะอยู่ที่ประมาณกลา่งสี่สิบถึงปลายห้าสิบ และน่าจะเป็นคนที่เกิดในช่วงปี ค.ศ.1950 จนถึงต้นปี ค.ศ.1960 ผมเข้าใจคนในยุคนี้เป็นอย่างดี พ่อแม่ของคุณเกิดและเติบโตในยุคที่แตกต่างกับยุค ค.ศ.2000 โดยสิ้นเชิง
              ในช่วงปี ค.ศ.1960 ชาวเกาหลีมีรายได้ต่อคนไม่ถึง 80 ดอลลาร์  เศรษฐกิจในเวลานั้นแย่ยิ่งกว่าในประเทศโซมาเลียและคองโก สมัยเด็กๆผมจำได้ว่า  ตามทางเดินมีธงชาติเกาหลีโบกสะบัดเพื่อต้อนรับการมาเยือนของประธานาธิบดีประเทศกาบอง โรงยิมชังชุงที่อยู่บริเวณสถานีทงแด ต้องจ้างช่างชาวฟิลิปปินส์มาช่วยสร้าง  เพราะขณะนั้นแรงงานชาวเกาหลียังสร้างตึกที่ทันสมัยแบบนั้นไม่เป็น
                แต่ทว่าตอนนี้รายได้ของชาวเกาหลีต่อคนสูงถึงสองหมื่นดอลลาร์ และเกาหลีกลายเป็นประเทศพัฒนาที่มีอัตราเศรษฐกิจเติบโตสูงเป็นอันดับที่ 11 ของโลก  พวกเราสามารถสร้างตึกที่สร้างยากหรือสูงที่สุดในโลกได้อย่างง่ายดาย  ความแตกต่างระหว่างยุคสมัยของคุณกับพ่อแม่เทียบกันไม่ได้เลย  ราวกับว่ามาจากคนละโลก  โลกที่พ่อแม่คุณอยู่กับโลกที่คุณอยู่ต่างกันมาก สิ่งต่างๆที่พ่อแม่ถูกปลูกฝังมาจึงไม่้สามารถใช้กำหนดอนาคตของคุณได้
                 พวกท่านเกิดและเติบโตในยุคที่ยากจน ต่อมาเกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างฉับพลัน  สมัยนั้นเป็นยุคที่การสอบเข้ามหาวิทยาลัยเป็นใบเบิกทางสู่ความสำเร็จ เป็นยุคที่อาชีพอาจาย์และพนักงานธนาคารมีเกียรติและยอดเยี่ยมที่สุด (ปัจจุบันอาชีพเหล่านี้ก็ยังเป็นอาชีพที่ดีเยี่ยม) ซึ่งแตกต่างกับค่านิยมของหนุ่มสาวสมัยนี้ที่คิดว่า  ความสุขและความพึงพอใจสำคัญที่สุด
                 แม้ว่าค่านิยมและการดำเนินชีวิตในสังคมจะเปลี่ยนไป  แต่ความห่วงใยของพ่อแม่ที่มีต่อลูกไม่เคยเปลี่ยนแปลง  ทุกครั้งที่เฝ้ามองอนาคตของลูก  หัวอกคนเป็นแม่ก็ยิ่งหวั่นไหว  พวกท่านแค่หวังให้ลูกมีงานที่มั่นคง  สามารถเลี้ยงดูตัวเองได้ตลอดชีวิต  ไม่ได้ต้องการให้ลูกประสบความสำเร็จมากที่สุด แต่อยากให้ลูกล้มเหลวน้อยที่สุด อนาคตของลูกที่ถูกพ่อแม่บงการจึงเหมือนกันหมด
                 ประมาณ 7-8 ปีก่อน เคยมีนักศึกษาชั้นปีที่ 2 มาขอคำปรึกษาจากผม  คุณพ่ออยากให้เขาเรียนต่อด้านกฏหมาย แต่เขาอยากทำงานด้านอื่นดูก่อน เขาไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี  ในฐานนะอาจารย์ ผมไม่ลังเลใจเลยที่จะเลือกเข้าข้างนักเรียน ผมให้กำลังใจเขาว่าอย่าทอดทิ้งความฝันของตัวเอง  หลายวันต่อมา คุณพ่อของนักศึกษาคนนี้โทร.มาต่อว่าผมที่ภาค เขาตำหนิว่า ผมเป็นอาจารย์ประสาอะไรถึงให้คำแนะนำแบบนั้นออกไป...มันอาจไม่ใช่การทะเลาะใหญ่โต  แต่ผมรู้สึกแย่มาก  ผมไม่ชอบพฤติกรรมของพ่อแม่ที่พยายามบงการอนาคตของลูกอย่างไม่มีเหตุผล
                    ทุกครั้งที่ผมเห็นหัวข้อข่าว  อัตรานักศึกษาวิชากฏหมายตกงานเพิ่มสูงต่อเนื่องและอัตรานักศึกษที่ลาออกจากคณะนิติศาสตร์เพิ่มขึ้นทุกปี  ผมสงสัยว่าตอนนี้คุณพ่อของเขากำลังคิดอะไรอยู่ แล้วตอนนี้เด็กคนนั้นจะเป็นอย่างไร  ทนายความอาจเป็นอาชีพที่ดี แต่ไม่ได้ดีเยี่ยมที่สุดเหมือนสมัยก่อนแล้ว ถ้าไม่ใช่อาชีพที่ลูกคุณอยากเป็นก็ไม่จำเป็นต้องฝืนใจพวกเขาหรอก
                   
[จงหัดก้าวเดินด้วยเท้าของคุณไปเรื่อยๆ
 ณ เส้นชัย  คุณจะเห็นตัวคุณที่สมบูรณ์แบบ]

                 ถึงแม้แม่จะบอกว่า  สิ่งที่เลือกให้ลูกดีที่สุดแล้ว  แต่คุณก็ควรตัดสินด้วยตัวเอง  เพราะคุณคือเจ้าของชีวิตที่แท้จริง  ชีวิตถูกถักทอขึ้นจากความพึงพอใจและความเสียใจ  เพื่อให้ความสุขและทุกข์สมดุลกัน  คุณจะต้องตัดสินทุกอย่าง "ด้วยตัวเอง"
                    แกนหลักอขงชีวิตคือตัวเราเอง ถ้ารู้ว่าจะต้องแบกสัมาภาระหนักอึ้งไว้บนหลัง  หากสัมภาระเหล่านั้นเป็นของคุณเอง  คุณจะรู้สึกว่าเบา  ในทางตรงข้าม หากมันเป็นสัมภาระของคนอื่น คุณจะรู้สึกว่ามันหนักหนาทั้งที่ยังไม่ได้ลองแบกดู
                     ต้องลืมแม่ไปสักพักก่อน  ต้องชัดเจนในตัวเอง  ตั้งแต่ตอนนี้แม่ของคุณเป็นฝ่ายตรงกันข้าม วางไม้ค้ำที่ชื่อว่าแม่ลงเสีย  หัดเดินด้วยเท้าของตัวเอง  ครั้งแรกอาจรู้สึกไม่มั่นคงและโดดเดี่ยว แต่จงหัดก้าวเดินด้วยเท้าของคุณไปเรื่อยๆ ณ เส้นชัย คุณจะเห็นตัวคุณที่สมบูรณ์แบบ.

ขอบคุณที่มา : หนังสือ เพราะเป็นวัยรุ่นจึงเจ็บปวด

พระบรมราโชวาทของ..พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ


  


1.ขอบคุณข้าวทุกเม็ด น้ำทุกหยด อาหารทุกจาน  อย่างจริงใจ
2.อย่าสวดมนต์เพื่อขอสิ่งใด นอกจาก "ปัญญา" และ  "ความกล้าหาญ"
3."เพื่อนใหม่" คือ ของขวัญที่ใหกับตัวเอง ส่วน "เพื่อนเก่า" คือ อัญมณีที่นับวันจะเพิ่มค่า
4.อ่านหนังสือ "ธรรมะ" ปีละเล่ม
5.ปฏิบัติต่อคนอื่นเช่นเดียวกับที่ต้องการให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อเรา
6.พูดคำว่า "ขอบคุณ" ให้มากๆ
7.รักษา "ความลับ" ให้เป็น
8.ประเมินคุรค่าของการให้ "อภัย" ให้สูง
9.ฟังให้มากแล้วจะได้คู่สนทนาที่ดี
10.ยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง หากมีใครตำหนิ และรู้แก่ใจว่า "เป็นจริง"
11.หากล้มลง จงอย่ากลัวกับการลุกขึ้นใหม่
12.เมื่อเผชิญหน้ากับงานหนัก ให้คิดสอนว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะล้มเหลว
13.อย่าถกเถียงธุรกิจภายในลิฟท์
14.ใช้บัตรเครดิตเพื่อความสะดวก อย่าใช้เพื่อก่อหนี้สิน
15.อย่าหยิ่งที่จะกล่าวคำว่า "ขอโทษ"
16.อย่าอาย หากจะบอกใครว่า "ไม่รู้"
17.ระยะทางนับพันกิโลเมตร แน่นอนมันไม่ราบรื่นตลอดทาง
18.ไม่มีใครเกิดมาแล้ววิ่งได้  จึงควรทำสิ่งต่างๆ อย่างค่อยเป็นค่อยไป
19.การประหยัดเป็นบ่อเกิดแห่งความร่ำรวย เป็นหนทางแห่งความไม่ประมาท
20.คนไม่ัรักเงิน คือ คนไม่รักชีวิต ไม่รักอนาคต
21.ยามทะเลาะกัน ผู้ที่เงียบก่อน คือ ผู้ที่มีการอบรมสั่งสอนที่ดี
22.ชีวิตนี้ฉันไม่เคยได้ทำงานเลยสักวัน ทุกวันเป็นวันที่สนุกหมด
23.จงใช้จุดแข็ง แต่อย่าเอาชนะจุดอ่อน
24.เป็นหน้าที่ของเราที่จะพูดให้คนอื่นเข้าใจ ไม่ใช่หน้าที่ของคนอื่นที่จะทำความเข้าใจในสิ่งที่เราพูด
25.เหรียญเดียวมี 2 ด้าน "ความสำเร็จ" กับ "ล้มเหลว"
26.อย่าตามใจตัวเอง เรื่องยุ่งๆที่เกิดขึ้นล้วนตามใจตนเองทั้งสิ้น
27.ฟันร่วงเพราะมันแข็ง  ส่วนลิ้นยังอยู่เพราะมันอ่อน
28.อย่าดึงต้นกล้าให้โตไวๆ (อย่าใจร้อน)
29.ระลึกถึงความตายวันละ 3 ครั้ง ชีวิตจะมีสุข มีอภัย มีให้
30.ถ้าติดกระดุมเม็ดแรกผิด เม็ดต่อๆไปก้จะผิดหมด
31.ทุกชิ้นงานจะต้องกำหนดวัน เวลาแล้วเสร็จ
32.จงเป็นน้ำครึ่งแก้วตลอดชีวิต เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมได้ตลอด
33.ดาวและเดือนที่อยู่สูง  อยากได้ต้องปีน "บันไดสูง"
34.มนุษย์ทุกคนมีชิ้นงานมากมายในชีวิต จงทำชิ้นงานที่สำคัญที่สุดก่อนเสมอ
35.หนังสือเป็นศูนย์รวมปัญญาของโลก จงอ่านหนังสือเดือนละเล่ม
36.ระเบียบวินัย คือ คุณสมบัติที่สำคัญในการดำเนินชีวิต

วันอังคารที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2556

คุณกตัญญูต่อแม่แน่หรือยัง !

     

       พระคุณของแม่ก็เหมือนหนี้ที่จ่ายเท่าไรก็ไม่มีหมด  เพราะธนาคารความรักของแม่ขยันปล่อยกู้ให้ลูกอย่างไม่มีหยุดยั้ง ท้องคลังพลังแห่งความรักของแม่คงกว้างขวางมาก แม่จึงป้ำได้ขนาดนี้ แถมยังไม่คิดดอกเบี้ย หรือไม่เคยฟ้องล้มละลายเรา ! 
     แม้ว่าแม่จะไม่คิดทำอย่างนั้น  แต่ขืนลูกหนี้อย่างเราไม่คิดทำความดีตอบแทนแม่บ้างคงไม่ดีแน่
     ลองทำแบบทดสอบนี้กันหน่อยไหมครับ  เผื่อคุณจะได้คำตอบว่า คุณกตัญญูต่อแม่แน่หรือเปล่า

      1.ส่วนมากเวลาแม่กับคุณทะเลาะกัน  ใครเป็นคนเริ่มก่อน
          ก.แม่แน่นอน !
          ข.จะใครล่ะ  ถ้าไม่ใช่ฉัน
          ค.สลับกันเป็นฝ่ายเปิดเกมเสิร์ฟเรื่อยไป
          ง.มีคนอื่นคอยชงประเด็นให้คุณแม่

     2.แล้วสุดท้ายส่วนมากใครเป็นคนหยุด
        ก.แม่ก็รู้ว่าลูกแม่ฤทธิ์เยอะขนาดไหน  เดี๋ยวแม่ก็ถอยทัพไปเองนั่นแหละ
        ข.ฮึ ! ลองฉันเงียบเข้าหน่อย เดี๋ยวแม่ก็ไม่รู้จะเถียงกับใครแล้ว
        ค.ต้องมีกรรมการคอยจับฝ่ายแดงกับฝ่ายน้ำเงินแยกมุมันอยู่เสมอ
        ง.ถ้าไม่มีใครเจ็บคอเสียก่อนคงไม่ลงจากสังเวียนง่ายๆหรอก

     3.แล้วสองแม่ลูกกลับมากอดคอกันแหววเหมือนเดิมได้อย่างไร
        ก.ไม่ต้องทำอะไร  วันรุ่งขึ้นเดี๋ยวก็กลับมาคุยกันเหมือนเดิมเอง  เมื่อคืนก็เถียงกันไปงั้นแหละ ไม่มีอะไรหรอก
        ข.ต้องมีสักคนลุกขี้นมาขอโทษอีกฝ่าก่อน แต่ต้องเป็นคนที่ทำผิดนะ ถ้าไม่ผิดก็ไม่ต้องขอโทษก่อน
        ค.รู้ตัวว่าเหนื่อยเกินไปที่จะโกรธกันต่อเลยรีบคุยกันอีกกว่า ใครผิดใครถูกไม่รู้แหละ เบื่อบรรยากาศมากแล้ว
        ง.ถึงตอนนี้ก็ยังไม่คุยกันเลย

     4.ถ้าคุณรู็้ว่า แม่ไม่ชอบแฟนใหม่ของคุณเอาเสียเลย คุณจะ่ำทำอย่างไร
         ก.เลิกกับแฟนทันที แฟนน่ะมีหลายคนได้ (แต่ไม่พร้อมกัน) แต่แม่มีได้คนเดียว มันต้องมีสักคนละว้าที่แม่ชอบ
         ข.เอาน่า ! ที่แม่ไม่ชอบแฟนของเรา เพราะแม่เป็นห่วงเรานี่นา แม่คนไหนล่ะจะไม่อยากให้ลูกมีคนรักที่ดี แต่ของแบบนี้คงต้องใช้เวลาพิสูจน์  วันหนึ่งทั้งคู่คงเข้าใจกันได้ หรือไม่งั้น แม่อาจจะพูดถูกก็ได้ ! โปรดติดตามตอนต่อไป
        ค.โหย ! แม่ ! จะรักจะชอบใครมันก็สิทธิ์ของลูกนะ ! โตแล้วนะแม่ !
        ง.บอกแม่ว่าเิลิกกับแฟนแล้ว เพื่อความสบายใจของแม่ แต่จริงๆยังคบหากันเป็นปกติ แค่นี้ก็สิ้นเรื่อง

     5.ถ้่าเลือกได้ คุณอยากให้แม่เปลี่ยนเป็นแบบไหน
        ก.ถ้าแม่สวยกว่านี้  ฉันคงหน้าตาดีกว่านี้
        ข.ถ้าแม่ขี้บ่นน้อยกว่านี้  ฉันคงไม่หนวกหูแบบนี้
        ค.ถ้าแม่รวยกว่านี้  ฉันคงสบายมากกว่านี้
        ง.ถ้าแม่ลองมาเป็นลูก  แล้วให้ฉันเป็นแม่ คงสนุกพิลึก !

      6.คุณฝันไว้ว่า.....
         ก.อยากมีเงินเยอะๆจะได้ปลูกบ้านหลังใหญ่ๆให้แม่อยู่
         ข.อยากให้แม่อยู่กับคุณตลอดชีวิต
         ค.อยากให้แม่ไม่เจ็บ  ไม่ป่วย  ไม่ไข้
         ง.อยากให้แม่ไม่ต้องทำงาน อยู่บ้่านเฉยๆ

เฉลย
  ข้อ 1-3

    มีแม่ลูกคู่ไหนบ้า่งที่ไม่เคยทะเลาะกันแม้แต่ครั้งเดียว  ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างคนในครอบครัวเป็นเื่รื่องธรรมดา ไม่สำคัญว่าใครเป็นคนเริ่มก่อน หรือใครผิดใครถูก  แต่สำคัญที่ว่าเมื่อทะเลาะกันแล้วจะคืนดีกันได้อย่างไรมากกว่า  คนเรามีสิทธิ์มองต่างมุมได้ แต่อย่าไปยึดว่าความคิดของเราเท่านั้นที่ถูกต้องและแน่นอนว่าคนเรามีสิทธิ์ผิดพลาดได้เหมือนกัน
    ปัญหาที่เกิดขึ้นส่วนมากเป็นเพราะอารมณ์เป็นตัวเติมเชื้อเพลิงไฟให้ร้อนขึ้น  หลายครั้งที่เรื่องระหว่างแม่ลูกบานปลายกลายเป็นเรื่องใหญ่โตเพียงเพราะต่างฝ่ายต่างใช้อารมณ์เข้ามาถล่มใส่กัน  และมักเก็บเอาอารมณ์ของอีกฝ่ายมาเป็นเหตุให้เราขุ่นข้องหมองใจซึ่งกันและกัน  มากกว่าจะมองไปยังเหตุผลของอีกฝ่ายและรับฟังในเหตุผลนั้น
     ตัวอย่างคลาสสิกที่หลายคนคงเคยเจอก็คือ  เวลาเรากลับบ้านดึกมากๆแม่ก็มักจะตวาดใส่เรา เห็นแม่ว่าเราแบบนั้นเราก็พลอยโกรธแม่ไปด้วย ทีนี้ทั้งแม่ทั้งลูกเลยระเบิดอารมณ์ใส่กันอย่างดุเดือดเข้าไปใหญ่ แต่หากเราถอยหลังตั้งสติจะเห็นได้ว่า เมื่อถอดคำพูดระหว่างบรรทัดที่แม่ว่าเราออกมาจะแปลได้ว่าเป็นห่วงเรา  แต่การแสดงออกของแม่ อาจจะสวนทางกับที่ใจนึก เพราะตอนนั้นแม่กำลังโมโห เราควรเข้าใจว่า ที่แม่พูดจาไม่ดีใส่เรานั้น เป็นผลมาจากแม่ไม่สามารถเอาชนะความโกรธในใจแม่ได้ ตอนนั้นแม่กำลังอ่อนแอ แม่กำลังโดนอธรรมเข้าครอบครองใจให้แม่ต้องบันดาลโทสะแบบนั้น  เราควรเมตตาแม่มากกว่าจะเป็นอีกคนที่ถูกกิเลสครอบงำ
      และที่บอกว่า  ไม่สำคัญว่าใครเริ่มก่อน ก็เพราะว่า เราทุกคนมีสิทธิ์ผิดพลาดกันได้  ไม่เว้นแม้แต่คนเป็นแม่ แม่ก็เพิ่งเคยแม่ตอนที่มีคุณเป็นลูกนี่แหละ  เพราะฉะนั้นถ้าแม่ทำผิด  เป็นเรื่องยากนักหรือที่คุณจะให้อภัยคนที่ให้อภัยคุณได้ตลอดทั้งชีวิต  เช่นเดียวกับการขอโทษแม่ในสิ่งที่เราทำผิด เพราะแม่พร้อมจะให้อภัยเราได้เสมอ และต่อให้คุณถูกอย่างทนโท่ ก็ไม่ต้องกลัวเสียฟอร์มที่จะเข้าไปคุยกับแม่ก่อนหรอก เพราะถึงอย่างไรมันคือเรื่องของความรัก ไม่ใช่การเอาชนะหรือการรักษาฟอร์ม ลองถามตัวเองว่า  เวลาคุยกับแม่แล้วสบายใจหรือเปล่า เรื่องในครอบครัวไม่ควรต้องมีฝ่ายใดชนะฝ่ายใดแพ้  แต่เราควรชนะกันทั้งคู่  คำว่า "ชนะ" นี้ไม่ได้หมายความว่า คนที่ผิดจะกลายเป็นคนถูก หรือคนที่ถูกต้องได้ทุกอย่างตามที่ต้องการ  แต่มันคือการลดทิฎฐิของตัวเอง และใช้ความรักในการประสานรอยร้าว   จนไม่เหลือคำว่า "ฝ่ายนั้น " หรือ "ฝ่ายนี้" แต่จะหลอมรวมกันเป็นคำว่า "เรา"  
         การกตัญญูต่อแม่วิธีหนึ่งคือการ  "ขอโทษ"  อย่างจริงใจ  ในสิ่งที่เี่ีราทำพลาดและพร้อมจะให้อภัยในสิ่งที่แม่ทำพลาดได้เช่นกัน
 

   ข้อ  4
    
    ไม่เฉพาะเรื่องแฟนเท่านั้น ข้อนี้ยังกินความรวมไปถึงการที่คุณทำหรือคุณเป็นในสิ่งที่คุณรัก แต่บังเอิญเป็นสิ่งที่แม่ไม่ชอบด้วย คุณสามารถเป็น ทา ทา ยัง "อยากเก็บเธอไ้ว้ทั้งสองคน" ได้โดยไม่ต้องเลือกข้าง ที่แม่ไม่ชอบแฟนของคุณ อาจเป็นเพราะท่านอยากให้คุณมีคนรักที่ดี ซึ่งการจะรู้ได้ว่าใครดีหรือไม่ดี คงต้องอาศัยเวลา มันเป็นไปได้ว่าคุณแม่คุณอาจจะพูดถูก  แฟนคุณอาจจะไม่ดีจริงก็ได้ หรือคุณแม่คุณอาจจะต้องใช้เวลาหน่อยในการยอมรับแฟนของคุณ  ซึ่งมันก็เป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย แม่คุณจะได้มั่นใจมากขึ้น  คุณเองก็จะได้มั่นใจในตัวคุณและแฟนมากขึ้นเช่นกัน และอย่างน้อยทั้งคุณและแม่ก็จะได้เรียนรู้ด้วยกันทั้งคู่ ดีกว่าเลิกกับแฟนทันทีเพียงเพราะแม่ไม่ชอบ (อย่าลืมสิว่า แม่ก็มีเซนส์ผิดได้) หรือโกหกแม่ว่าเลิกกันแล้วทั้งๆที่ยังไม่เลิก
     คนไทยเราปลูกฝังเรื่องความกตัญญู  การเชื่อฟังพ่อแม่ว่าเป็นสิ่งที่ดี  แต่พ่อแม่หลายคน  รวมทั้งลูกด้วยมักตีความผิด  กลายเป็นว่าลูกต้องซ้ายหันขวาหันตามที่พ่อแม่สั่งไปเสียหมด จนเครียดที่ถูกคาดคั้นให้ต้องเป็นและคิดอย่างที่พ่อแม่อยาก และกลายเป็นว่าสายตาที่ลูกมองโลกไม่ใช่สายตาของลูกเอง แต่เป็นสายตาของพ่อแม่ ผลเสียนี้เกิดกับพ่อแม่เหมือนกัน เพราะพ่อแม่จะเครียดที่ลูกไม่เป็นไปตามที่ต้องการ แต่พ่อแม่ทั้งหลายอย่าลืมว่า  ขนาดเราใช้ชีวิตของตัวเองให้เป็นไปตามที่ต้องการยังยากเลย นับประสาอะไรกับการใช้ชีวิตของคนอื่นให้เป็นไปตามความต้องการของตัวเอง เราต้องไม่ลืมว่าโลกนี้ไม่ใช่โลกของเราคนเดียว จะให้โลกเป็นไปตามที่เราอยากได้คนเดียวคงไม่ได้
     ที่พูดแบบนี้  ไม่ได้หมายความว่าลูกจะไม่ต้องเชื่อฟังพ่อแม่กันเลย เพราะทางเดินในชีวิตเราคงจะโดดเดี่ยวเกินไปมาก หากไม่มีท่านมาชี้แนะ  บางอย่างเราสามารถเรียนลัดได้จากชีวิตคนอื่น หากสิ่งไหนเป็นสิ่งที่ดีที่ท่้านสอน เราก็พึงประพฤติปฏิบัติตาม และแน่นอนว่าสิ่งไหนที่ท่านแสดงเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี เราก็พึงรู้ว่ามันคือสิ่งไม่ดีที่ไม่ควร
     อย่ากลัวที่จะล้ม  และอย่าเสียใจที่พ่อแม่ไม่ช่วยพยุงคุณให้ลุกขึ้นใหม่ เพราะนั่นเป็นวิถีที่่ท่านกำลังสอนให้เราเข้มแข็งด้วยตัวเองอยู่ และนั่นแหละคือวิธีที่ท่าน "พยุง" คุณละ !

    ข้อ 5

       ก.คุณจะอยา่กให้แม่คุณสวยกว่านี้เพื่อให้คุณหน้าตาดีขึ้นไปทำไมล่ะ  ในเมื่อสำหรับแม่แล้ว คุณคือทารกที่น่ารักที่สุดในโลก และต่อให้คุณหน้าตาดีขี้นหรือแย่ลง  ความรักของแม่ก็ไม่แปรผันไปตามรูปกายของคุณอยู่แล้ว อ้อ ! และถ้าคุณอยากหน้าตาดีขึ้นจริงๆจะลากแม่ให้มาลำบากด้วยทำไม   ปรึกษายันฮีง่ายกว่าไหม !

       ข.คุณไม่มีทางทำให้แม่บ่นได้น้อยลงหรอก  แม่บ่นเพราะแม่รัก  คิดเสียว่าทุกครั้งที่แม่บ่น แม่กำลังบอกรักเราอยู่้

        ค.คุณจะอยากให้แม่รวยกว่านี้....เพื่อคุณจะได้สบายทำไม  คุณนั่นแหละที่ควรทำให้แม่สบาย !

        ง."เอาไว้วันที่มาเป็นพ่อเป็นแม่  เดี๋ยวก็รู้ !" แม่คุณก็กำลังคิดแบบนี้

   ข้อ 6

      ก.คุณจะมีบ้านหลับใหญ่ๆไว้ทำไม ถ้าแม่ต้องอยู่บ้านเหงาๆคนเดียว  และก็ไม่ต้องรอให้มีเงินเยอะๆก่อนหรอก คุณถึงทำให้แม่มีความสุขได้
     
      ข.นี่คือความจริง ! ที่คุณต้องขีดเส้นใต้ "แม่ไม่มีวันอยู่กับคุณได้ตลอดชีวิต" แต่ระหว่างที่มีชีวิตอยู่ เราได้ทำอะไรให้ท่านแล้วหรือยัง

      ค.นี่คือความจริง ! ที่คุณต้องขีดเส้นใต้ "แม่ไม่มีวันไม่เจ็บ ไม่ป่วย ไม่ไข้" แต่คุณจะทำยังไงให้แม่ยังยิ้มออกและมีกำลังใจเวลาที่ท่านไม่สบายต่างหากล่ะ

      ง.อะไรก็ตามที่แม่ทำแล้วมีความสุข  ก็ให้แม่ทำเถอะ  ขืนให้แม่อยู่บ้านเฉยๆแม่คงเฉาเหมือนต้นไม้ขาดน้ำ

       สงสัยไหมครับ ? ว่าทำไมไม่มีการให้คะแนนแบบทดสอบนี้ ก็เพราะการจะชี้ว่าใครกตัญญูหรือไม่เป็นเรื่องยาก  เนื่องจากความกตัญญูก็ไม่ได้แสดงออกมาให้เห็นแบบความสวยงามของหน้าตาเมื่อไหร่
       คุณต่างหากล่ะครับ ที่ต้องถามตัวเองและตอบตัวเองให้ได้ว่า คุณทำดีต่อแม่บ้างหรือยัง อย่างน้อยการเริ่มต้นตั้งคำถามกับตัวเอง ก็คงช่วยให้คุณหันกลับมาทบทวนตัวเองได้
       คุณเริ่มต้นได้สวยแล้วครับ เหลือแต่ว่าก้าวต่อจากนี้ไป  คุณจะทำอย่างไรเพื่อตอบแทนพระคุณแ่ม่
       
        ได้คำตอบหรือยังครับ..

"แรงบันดาลใจที่จะทำให้ลูกดำเนินชีวิตอย่างถูกต้องและงดงามนั้น ก็คือแม่ของเขานั่นเอง ไม่ใช่คนอื่น"

ขอบคุณที่มา : นิตยสาร อริยะ สร้างได้ สาริกา ปีที่ 9 ฉบับที่ 84 

วันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2556

นาฬิกาชีวิต : ตอนนี้ชีวิตของคุณกี่โมงแล้ว

   บนโต๊ะทำงานของผมมีนาฬิกาตั้งไว้อยู่หนึ่งเรือน ความจริงแล้วนาฬิกาเรือนนี้ยังใช้งานได้ดีอยู่ แต่เพราะผมเอาถ่านออก เข็มของมันจึงหยุดนิ่งอยู่กับที่  นาฬิกาเรือนนี้ไม่ได้มีหน้าที่เพียงแค่ประดับโต๊ะทำงานเฉยๆเท่านั้น เพราะเมื่อครบรอบวันเกิดของผมในทุกปี  ผมจะหมุนเข็มนาฬิกาให้เคลื่อนไปข้างหน้า 18 นาที 

1
 
    นาฬิกาของชีวิตหมุนผ่านไปเร็วเสมอ  เพียงแค่ชั่วอึดใจคำนำหน้าชื่อของเราก็ถูกเปลี่ยนเป็นนายเสียแล้ว วันพรุ่งนี้และวันมะรืนเดินทางมาถึงอย่างเงียบงัน  ไม่นานนักอายุของเราก็ย่างเข้าสู่ "หลักสามสิบ" ก่อนถึงช่วงอายุนี้  หากชีวิตปราศจากการวางแผนที่มุ่งมั่น หรือไม่อาจทำให้ความฝันใดๆลุล่วงเป็นจริงได้  พลังชีวิตที่เคยมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยมก็จะมอดมลายหายไป ท้ายที่สุดก็ทำได้แค่เพียงคร่ำครวญต่อเวลาที่หมดไปและต้องยอมจำนนต่อชีวิตที่เป็นอยู่อย่างไม่มีเงื่อนไข และแล้ววัยสามสิบก็เริ่มต้นขึ้น
     ชีวิตนักศึกษามหาวิทยาลัยดำเนินไปอย่างเร่งรีบ  ทุกคนจำเป็นต้องคำนวณหน่วยกิตวิชาเอก  วิชาโท อย่างรอบคอบ  เพื่อจะได้จบปริญญาตรีภายใน 4 ปี ทว่าในยุคปัจจุบัน  การหางานเต็มไปด้วยการแข่งขันที่ดุเดือด  ความรู้ในรั้วมหาวิทยาลัยเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ หลายคนจึงพยายามเพิ่ม "ความสามารถ" และหาประสบการณ์เสริม อาทิเช่น การเรียนกวดวิชา  การฝึกงาน  การทำงานพิเศษ ฯลฯ บางคนอาจไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศสักเทอมหรือสองเทอม  นักศึกษาชายต้องไปเกณฑ์ทหาร  ส่วนคนที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ติด  พักการเรียน  หรือเปลี่ยนวิชาเอก อาจใช้เวลาเพิ่มขึ้นอีก 1-2 ปี หลังจากเรียนจบก็ยังต้องเรียนเพิ่มเพื่อเตรียมสอบคัดเลือกเข้าทำงานหรือเรียนต่อต่างประเทศ พอรู้ตัวอีกทีเข็มของอายุก็ชี้ไปที่เลขสามแล้ว
     แม้วัยรุ่นจะไม่ใช่คนที่กำลังเผชิญหน้ากับวัยสามสิบ  แต่ส่วนใหญ่ต่างก็หวาดกลัวต่อความรวดเร็วของเวลานักศึกษาชั้นปีที่ 2 กังวลใจต่อการเรียน  จนลืมความสนุกของชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยปีแรกไปจนหมด หรือนักศึกษาปีที่ 3 ที่เอาแต่ครุ่นคิดถึงชีวิตหลังเรียนจบ ซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นอย่างพะว้าพะวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบัณฑิตจบใหม่ที่กำลังว่างงานอยู่ ทุกวันของพวกเขาผ่านไปอย่างร้อนใจและท้อแท้ หากทุกคนใช้ชีวิตรีบเร่งมากขนาดนี้  แล้วจะลดความหวาดกลัวต่อความล้มเหลวหรือความสำเร็จในชีวิตได้จริงหรือ  ถ้าคิดดูให้ดีจะพบว่่า ความปรารถนาของพวกเราล้วนแต่เป็นเรื่องฉาบฉวย ไม่ว่าจะอยากประสบความสำเร็จเร็วๆ อยากได้งานดีๆ ก่อนใคร ...และไม่แน่ว่าตัวคุณซึ่งกำลังอ่านหนังสือเล่มนี้อยู่ ก็อาจหวั่นไหวอยู่ลึกๆว่า "อายุขนาดนี้แล้ว  แต่ยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย..."



     ชีวิตของคุณอายุเท่าไหร่กันแน่ !
    
     เมื่อได้ยินคำถามนี้ครั้งแรกอาจรู้สึกงงได้  ถ้าอย่างนั้นผมขอแจกแจงอย่างละเอียด โดยกำหนดให้ชีวิตของมนุษย์ตั้งแต่เกิดจนตายให้มีค่าเท่ากับเวลา 24 ชั่วโมงในครึ่งวัน ตอนนี้ชีวิตของคุณน่าจะตรงกับเวลาใด เวลาเที่ยงตรงซึ่งดวงอาทิตย์ฉายแสงร้อนแรงที่สุด หรือเป็นเวลายามบ่ายที่ต้องเริ่มทำงานอีกครั้งหลังจากพักกลางวัน
     หากเราลองนำอายุ  บัณฑิตที่เพิ่งเรียนจบหมาดๆในวัย 24 ปี มาคำนวณด้วยสูตรอย่างจริงจัง กำหนดให้อายุขัยเฉลี่ยอยู่ที่ 80 ปี ในเวลา 24 ชั่วโมง  คนที่อายุ 24 ปี ซึ่งสามารถมีอายุขัยถึง 80 ปี จะมีนาฬิกาชีวิตตรงกับกี่โมง กี่นาที  กันนะ
       คำตอบคือ  เจ็ดโมง 12 นาที

        เวลาเจ็ดโมง 12 นาทีอาจดูเช้ามาก แต่เวลาเดียวกันนี้ ใครบางคนอาจกำลังกระวีกระวาดรีบตื่นนอน  และใครบางคนที่ชอบนอนตื่นสาย  อาจกำลังนอนหลับปุ๋ยอย่างสบายใจ แต่ทั้งนี้ทุกคนที่อายุ 24 ปี จะอยู่ในเวลาเดียวกัน คือ เจ็ดโมง 12 นาที
        ในฐานะที่ผมเป็นอาจารย์  จึงได้เห็นการเติบโตของคนหนุ่มสาวมากมาย ถ้าเปรียบให้เวลาชีวิตเริ่มต้นที่เจ็ดโมง 12 นาที  จะเห็นภาพได้ชัดเจนที่สุด เพราะอายุ 24  เป็นช่วงเวลาที่มนุษย์ข้ามผ่านวัยเยาว์และความคึกคะนองประสาวัยรุ่นมาจนเกือบหมดแล้ว  เป็นช่วงเวลาชีวิตที่ต้องเตรียมพร้อมสู่การเป็นส่วนหนึ่งในสังคมอย่างจริงจัง  ซึ่งน่าจะตรงกับเวลาออกจากบ้านตอนเช้าไปทำงานพอดี
        ถ้าเช่นนั้ คนอายุ 60 ปี ในวัยเกษียณน่าจะตรงกับเวลาใดกัน  คำตอบคือ  หกโมงเย็น  เป็นเวลาที่คนส่วนใหญ่เลิกงาน และกำลังกลับบ้าน หรือไม่ก็กำลังรับประทานอาหารเย็นกับครอบครัวอย่างมีความสุข  อายุชีวิตที่คล้ายคลึงกับเวลาในหนึ่งวันแบบนี้  ผมจึงชอบเทียบอายุขัย 80 ปีกับเวลาในหนึ่งวัน

     


       การคำนวณนาฬิกาชีวิตนั้นง่ายมาก ถ้าเวลา 24 ชั่วโมง  มีค่าเท่ากับ 1,440 นาที ชีวิตที่มีอายุขัย 80 ปี  จะมีค่าเท่ากับปีละ 18 นาที 
       อายุ 10 ปี จึงมีค่าเท่ากับ 3 ชั่วโมง พอใช้สูตรนี้ เราจะสามารถคิดคำนวณเวลาได้ทุกช่วงชีวิต อายุ 20 ปี จะตรงกับเวลาหกโมงเช้า อายุ 29 ปี จะตรงกับเวลาแปดโมง 42  นาที นาฬิกาชีวิตนี้คำนวณขึ้นจากอายุขัยเฉลี่ย 80 ปี แต่ถ้าในอนาคตอายุขัยเฉลี่ยเพิ่มมากขึ้น อัตราการคำนวณเวลาชีวิตก็อาจเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย
       เมื่อไม่นานมานี้  มหาวิทยาลัยของผมได้จัดงานคืนสู่เหย้าขึ้น รุ่นพี่คนหนึ่งซึ่งมีอายุมากกว่า 60 ปี ได้เล่าให้ฟังว่า  เขาเป็นอาจารย์มาตลอดชีวิต จู่ๆรัฐบาลก็ปรับแผนให้มีการเกษียณก่อนกำหนด เขาจึงต้องเกษียณทั้งที่ยังไม่ได้เตรียมตัว ในตอนแรกเขารู้สึกเกลียดช่วงอายุที่ว่างเปล่านี้มาก แต่ตอนนี้กลับรู้สึกขอบคุณช่วงเวลานี้เป็นที่สุด เพราะเพิ่งรู้ว่าวัยเกษียณมีชีวิตใหม่ที่เปี่ยมไปด้วยความสุขซ่อนอยู่ด้วย  เขาขอบคุณที่ได้พบเจอโลกใบนี้เร็วกว่าเดิมถึง 2 ปี ...ผมรู้สึกประทับใจเรื่องราวของรุ่นพี่คนนี้มาก และเฝ้ารอให้โลกใบใหม่เดินทางมาถึงในวันหนึ่งข้างหน้า เพราะตะวันยามเย็นหลังหกโมงสาดแสงเป็นประกายงดงามไม่แพ้ท้องฟ้าเวลาอื่น
       คนส่วนใหญ่ที่ได้เห็นนาฬิกาชีวิตของตัวเองล้วนแต่ประหลาดใจ เพราะเวลาที่คำนวณออกมาดูเหมือนจะผ่านไปไม่เท่าไหร่  ตอนที่ผมบอกคนที่อายุ 50 ปีว่า "ตอนนี้นาฬิกาชีวิตของคุณอยู่ที่เวลาบ่ายสามโมงครับ" เขาลองคำนวณคร่าวๆด้วยตัวเองอีกครั้ง แล้วก็พูดขึ้นอย่างตกใจว่า "จริงด้วยแฮะ" เมื่อผมบอกเด็กอายุ 20 ปีที่เพิ่งเรียนจบ ส่วนใหญ่มักคิดคล้ายๆกันว่า "นึกว่าใช้ชีวิตมานานมากแล้วซะอีก ที่แท้นาฬิกาชีวิตก็เพิ่งหกโมงเช้าเท่านั้น"
       อายุวัยนี้  เป็นช่วงชีวิตที่เพิ่งเริ่มต้นขึ้น อาจคิดว่ากำลังจะสาย แต่เวลาในหนึ่งวันต่อจากนี้ยังคงทอดยาวไม่จบสิ้น  ความรู้สึกที่ว่า "ทุกอย่างมันสายไปแล้ว ! " ไม่ได้เกิดขึ้นจาก "ความจริง" แต่เป็นผลมาจาก "ภาพลวงตา" ที่เราสร้างขึ้นเอง ดังนั้น จึงไม่ควรหาข้ออ้างเพื่อล้มเลิกความตั้งใจ ตอนนี้ไม่มีอะไรที่สายเกินไป แม้จะเป็นเศษเวลาเล็กน้อย แต่ก็สามารถเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างได้เสมอ
      


       ขณะนี้เข็มนาฬิกาชีวิตของผมชี้ไปที่เวลาบ่ายสองโมง 24 นาที ปีนี้ผมอายุ 48 ปีแล้ว แต่นาฬิกาชีวิตก็ยังเดินไปไม่ถึงบ่ายสองโมงครึ่ง...ในทุกครั้งที่คิดว่า ยังไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย ทั้งที่อายุเกือบจะ 50 ปีแล้ว ผมจะมองไปที่นาฬิกาบนโต๊ะ เพราะเวลาชีวิตในหนึ่งวันของผมยังเหลืออยู่มากมาย
        ในภาพยนตร์เรื่อง เบนจามิน บัตตัน อัศจรรย์คนโลกไม่เคยรู้ (The Curious Case of Benjamin Button) มีบทสนทนาหนึ่งกล่าวไว้ว่า

          "ในชีวิตหนึ่ง  ไม่มีช่วงอายุใดที่เร็วเกินไปหรือสายเกินแก้"

 ขอบคุณที่มาจากหนังสือ เพราะเป็นวัยรุ่นจึงเจ็บปวด