วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2556

ข้อคิดจากนาฬิกาชีวิตในการใช้เงิน ?

ถ้าคุณมีเงินเดือน 15,000 บาท


เดือนนึงทำงาน 22 วัน วันละ 8 ชั่วโมง รวมเดินทางไปกลับ 2 ชั่วโมง เป็น 10 ชั่วโมง เท่ากับคุณทำงานเดือนละ 220 ชั่วโมง

คุณจะมีค่าตัวชั่วโมงละ 68 บาท
ตีเป็นตัวเลขกลมๆ 70 บาท

ถ้าคุณกินกาแฟสตาร์บัคส์แก้วละ 140 บาท นั่นเท่ากับคุณแลกชีวิตไป 2 ชั่วโมงเพื่อกาแฟแก้วนั้น

ถ้าคุณซื้อไอโฟนห้าเครื่องละ 30,000 บาท นั่นเท่ากับคุณแลกชีวิตไป 428 ชั่วโมงเพื่อมือถือเครื่องนั้น

ถ้าคุณซื้อรถคันแรกคันละ 700,000 บาท นั่นเท่ากับคุณแลกชีวิตไป 10,000 ชั่วโมงเพื่อรถคันนั้น

ถ้าคุณซื้อบ้านหลังแรกราคา 2,000,000 บาท รวมดอกเบี้ย 30 ปี จะกลายเป็น 4,000,000 บาท นั่นเท่ากับคุณแลกชีวิตไป 57,142 ชั่วโมง

อายุเฉลี่ยของคนเราอยู่ที่ 70 ปี หรือ 613,200 ชั่วโมง ถ้านอนวันละ 8 ชั่วโมง เราจะเหลือชีวิตที่รู้สึกตัว
อยู่ 408,800 ชั่วโมง

แต่ละชั่วโมงถูกใช้ไปแลกกับอาหาร สิ่งของ และโมงยามที่อยู่กับสิ่งที่รัก คนที่รัก

ประเด็นก็คือ ถ้าซื้อน้อยลง คุณก็จะมีเวลาใช้ไปกับสิ่งที่รัก คนที่รักเพิ่มขึ้น
บนความพยายามเท่าเดิม คิดก่อนซื้อ ดีกว่ามั้ย?

- Wisoot Sangarunlert


ขอบคุณที่มา : เพจ เซเลบหุ้น : Bud Fox

วันจันทร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2556

18 ข้อคิดสำหรับมนุษย์เงินเดือนที่อยากมีอิสรภาพทางการเงิน ^^


      อาชีพมนุษย์เงินเดือนเป็นอาชีพของคนส่วนใหญ่ในประเทศ มีรายได้มั่นคงแต่น้อยคนนักที่พบกับอิสรภาพทางการเงิน ผมขอแชร์แนวคิดจากประสบการณ์ตรง โดยที่ผมวางเป้าหมายส่วนตัวอยากมีอิสรภาพทางการเงินอายุไม่เกิน 45 ปี และมีทรัพย์สินที่สร้างรายได้เพียงพอตลอดทั้งชีวิต

1. จงรู้จักออมเงินตั้งแต่อายุยังน้อย ซึ่งเคล็ดลับอยู่ที่ควบคุมความอยากของตนเอง โดยการทยอยซื้อของชิ้นใหญ่ อย่าซื้อทีเดียวติดกัน เช่น โทรศัพท์มือถือ แพคเกจเที่ยว และรถยนต์ ให้เว้นช่วงห่างกันเป็นเดือนๆ เพราะความอยากของคนเราไม่มีที่สิ้นสุด ที่สำคัญควรซื้อของที่มีโอกาสได้ใช้จริง ผมตั้งเป้าอัตราการออม 30-70% ของรายได้ทั้งปี ตามรายได้ที่มากขึ้น
2. จงเก็บเงินโบนัสไว้ให้ดีเพราะเป็นเงินก้อนที่เอาไปลงทุนได้ ผมให้รางวัลตัวเองในแต่ละปีไม่เกิน 30% ของเงินโบนัสที่เหลือเก็บเอาไปลงทุน
3. จงเริ่มต้นเก็บเงินล้านบาทแรกให้ได้แล้วล้านบาทอื่นๆจะตามมา ผมคิดว่าคำกล่าวนี้จริงและรู้สึกว่าเก็บเงินล้านบาทหลังจะเร็วขึ้นเรื่อยๆ
4. จงเลือกทำงานที่ตนเองชอบและถนัดในธุรกิจที่มีอนาคต จะทำให้เงินเดือนและตำแหน่งเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ที่สำคัญควรเลือกทำงานกับเจ้านายฉลาดและส่งเสริมให้เราก้าวหน้า 
5. จงใช้บัตรเครดิตเป็นเครื่องมือในการลดค่าใช้จ่าย ควรใช้บัตรซื้อของที่ต้องการซื้ออยู่แล้วอย่างใช้เกินตัว เพราะจะได้ส่วนลด คะแนนสะสม และเงินคืนกลับมาดีกว่าการใช้เงินสด ผมใช้บัตรเครดิตหลายใบโดยชำระเต็มจำนวน และใช้บัตรที่ให้ส่วนลดสำหรับร้านค้านั้นๆ มากที่สุด
6. จงลองคิดมาตรการลดค่าใช้จ่ายที่สามารถทำได้ง่ายและเห็นผลจริง ผมเคยทำสำเร็จมาแล้วโดยวิธีการแรก ทำเรื่องรีไฟแนนซ์บ้านเพื่อลดดอกเบี้ย วิธีการสอง เอารถไปติดแก๊สเพื่อลดค่าน้ำมัน วิธีการสาม เปลี่ยนเคเบิลเป็นแบบไม่มีค่ารายเดือน พบว่าช่วยประหยัดไปเป็นแสนบาทต่อปี
7. จงหาทางลดหย่อนภาษีให้ได้มากที่สุด เพราะเป็นการเพิ่มเงินออมโดยตรง ได้แก่ ประกันชีวิต กองทุนLTF/RMF ดอกเบี้ยบ้าน เครดิตภาษีหุ้นปันผล ผมจ่ายภาษีจริงน้อยกว่าครึ่งของภาษีที่คำนวณได้
8. จงเริ่มทำบันทึกการเติบโตของรายได้และสินทรัพย์สุทธิเป็นประจำทุกปี และต้องกำหนดเป้าหมายการเติบโตของสินทรัพย์ในแต่ละปีเพื่อเป็นแนวทางบรรลุเป้าหมายทางการเงิน 
9. จงหัดออมเงินในรูปแบบอื่นนอกจากฝากเงินกับธนาคาร ได้แก่ พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้ กองทุนรวมตราสารหนี้ และประกันชีวิต เพราะผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้น ผมออมเงินไว้หลากหลายรูปแบบประมาณ 40% ของสินทรัพย์สุทธิ
10. จงหัดลงทุนเพื่อให้มีรายได้เสริม ซึ่งอาจจะเป็นรายได้หลักในอนาคต เช่น ลงทุนในหุ้น กองทุนรวมตราสารทุน ทอง คอนโด และขายของออนไลน์ ก่อนลงทุนต้องศึกษาให้รู้จริงและดูว่ารับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน ผมเคยลองมาหลายอย่างปัจจุบันเน้นลงทุนหุ้นกับคอนโดเป็นหลัก ลงทุนประมาณ 40% ของสินทรัพย์สุทธิ
11. จงเลือกทรัพย์สินที่มิใช่การลงทุนให้ดี ได้แก่ บ้านและรถยนต์ที่เราใช้อยู่ เพราะไม่ได้เปลี่ยนกันบ่อยๆและถือเป็นต้นทุนจมจนกว่าขายออกไป ผมเลือกบ้านที่ทำเลดี ราคาคุ้มค่า และไปทำงานสะดวก โดยไปเยี่ยมชมโครงการมาไม่น้อยกว่า 50 แห่งก่อนตัดสินใจซื้อ เลือกรถที่เป็นที่นิยมของตลาด ราคาคุ้มค่า และไม่เสียบ่อย เพราะเราจะได้เอาเวลาไปทำอย่างอื่น เงินอยู่ในนี้ประมาณ 20% ของสินทรัพย์สุทธิ
12. จงเรียนรู้การลงทุนโดยใช้เงินคนอื่น เช่นการกู้เงินซื้อคอนโด เพราะเราจะได้กำไรมากจากเงินลงทุนน้อย ผมลงทุนคอนโดย่านพระราม 9 ซื้อไว้เมื่อ 3 ปีก่อนราคา 1.8 ล้านบาทโดยใช้เงินตนเอง 2 แสนบาทที่เหลือกู้ธนาคารผ่อนจ่ายเดือนละ 1 หมื่นบาท ปล่อยเช่ามาตลอดได้เดือนละ 1.3 หมื่นบาท ราคาตลาดปัจจุบันที่ขายกันในเว็บไซต์ราคา 2.6 ล้านบาท ถ้าขายไปจะได้กำไร 9 แสนบาทเท่ากับ 450% จากเงินลงทุนจริง
13. จงรักษาเครดิตบูโรของตนเองให้ดี เพราะมีผลต่อการทำธุรกรรมทางการเงินกับธนาคาร เช่น สมัครบัตรเครดิต กู้ซื้อบ้าน กู้ซื้อรถ ผมไม่เคยผิดนัดชำระทำให้การทำธุรกรรมกับธนาคารผ่านตลอด
14. จงระวังวิกฤตเศรษฐกิจ เช่น วิกฤติต้มยำกุ้ง หรือ วิกฤติแฮมเบอร์ ทำให้คนรวยจนลงในพริบตา ความรู้เศรษฐศาสตร์เป็นเรื่องสำคัญทำให้เข้าใจวงจรเศรษฐกิจที่มีทั้งเติบโตและตกต่ำสลับกันไปมาตลอด การสังเกตดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจ ช่วยให้ลงทุนถูกจังหวะและความเสี่ยงไม่สูงจนเกินไป
15. จงเลือกนำเงินไปลงทุนเฉพาะเงินเย็น เพราะการลงทุนต้องใช้เวลาและมีโอกาสขาดทุน หากขาดทุนจริงเราก็ไม่เดือดร้อน ผมกำหนดเงินสดขั้นต่ำที่เอาไว้ใช้จ่ายอย่างน้อย 12 เดือน ส่วนที่เหลือก็เอาไปลงทุนได้ 
16. จงศึกษาหาความรู้เรื่องการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ จากหนังสือ เข้าอบรมสัมมนา เว็บไซต์ เว็บบอร์ด เว็บเพจ ยูทูบ แอพพลิเคชั่น และเพื่อนๆ ทำให้มีความรู้ลึกซึ้งมากขึ้น
17. จงเรียนรู้จากการลงทุนผิดพลาดในอดีต ทุกคนที่เคยลงทุนต้องเคยขาดทุนเป็นเรื่องธรรมดา ผมเองเคยขาดทุนจากวอเรนต์เกือบแสน เคยติดหุ้นวงในมาเกือบสิบปีเพิ่งจะขายได้ ผมไม่เลิกลงทุนในหุ้นแต่จะเลิกเล่นหุ้นในแบบที่เคยเจ็บตัว
18. จงมุ่งมั่นที่จะประสบความสำเร็จ เพราะความมุ่งมั่นจะเป็นแรงขับดันลึกลับที่จะพาเราไปถึงฝัน ผมทำข้อต่างๆที่กล่าวมาเป็นประจำจนเป็นนิสัยซึ่งจะพาเราไปถึงฝันสักวันหนึ่ง การมีอิสรภาพทางการเงิน คืออยากจะทำอะไรก็ได้ที่เราอยากทำอย่างแท้จริง โดยที่ยังมีรายได้เข้ามาอย่างสม่ำเสมอแม้ไม่ต้องทำงาน

ขอบคุณที่มา :สมาชิกบอร์ด pantip ห้องสินธร

วันจันทร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2556

เคล็ดลับทำอย่างไรให้รวย ?


     

     มาฟังเคล็ดลัดของคนรวยกันดีกว่า  ว่าจากคนที่ไม่ได้มีมรดกตกทอดมาจากครอบครัวที่ร่ำรวยแต่แรก แต่อยู่กับการสร้างฐานะความมั่นคงทางการเงินด้วยตัวเอง คงไม่ใช่เรื่องง่าย เรามาดูกันว่าคนรวยมีเคล็ดลับในการคิดและทำงานกันอย่างไร ถึงได้มีเงินมีทองร่ำรวยมั่งคั่งกันทุกวันนี้ เริ่มแรก ขอแนะนำข้อคิดดีๆ จากหนังสือเรื่อง Secrets of the Millionaire Mind และ Secrets of the Millionaire Mind: Mastering the Inner Game of Wealth ที่เขียนโดย T. Harv Eker มาเล่าสู่กันฟังก่อน

โดยเค้าบอกว่า การสร้างความสำเร็จใดๆ เริ่มต้นที่ความคิด ความคิดจะนำไปสู่ความรู้สึก ความรู้สึกจะนำไปสู่การกระทำ และการกระทำนั้นจะนำไปสู่ผลลัพธ์  ฉะนั้นแล้ว  ทุกสิ่งทุกอย่างจะเริ่ีมต้นที่ความคิดเป็นอันดับแรก  เราควรเลือกคิดในทางที่สนับสนุนความสุขและความสำเร็จ แทนการคิดในสิ่งที่ไม่ได้ช่วยอะไรเลยในชีวิต โดยผู้เขียนได้สรุปความแตกต่างในหลักคิดของคนรวยและคนจนไว้ว่า คนรวยเชื่อว่า ฉันสร้างชีวิตของฉันเอง คนจนเชื่อว่า ชีวิตแย่ๆ เกิดขึ้นกับฉันอย่างไม่มีทางเลือก คนรวยเล่นเกมการเงินเพื่อที่จะชนะ คนจนเล่นเกมการเงินเพื่อจะไม่ให้เสีย คนรวยมุ่งมั่นผูกมัดตัวเองที่จะต้องรวย คนจนแค่ต้องการที่จะรวย คนรวยคิดใหญ่ คนจนคิดเล็ก คนรวยให้ความใส่ใจกับโอกาส คนจนให้ความใส่ใจกับอุปสรรค คนรวยชื่นชมคนที่รวยและประสบความสำเร็จ คนจนไม่พอใจคนที่รวยและประสบความสำเร็จ คนรวยคบหาสมาคมกับคนคิดบวกและประสบความสำเร็จ คนจนคบหาสมาคมกับคนที่คิดลบและไม่ประสบความสำเร็จ คนรวยเต็มใจที่จะส่งเสริมตัวเองและคุณค่าของเขา คนจนคิดในทางลบเกี่ยวกับการโฆษณาตัวเอง คนรวยตัวใหญ่กว่าปัญหาของเขา คนจนตัวเล็กกว่าปัญหาของเขา คนรวยเป็นผู้รับที่ยอดเยี่ยม คนจนเป็นผู้รับที่แย่ คนรวยเลือกที่จะรับค่าจ้างบนพื้นฐานของผลงาน คนจนเลือกที่จะรับค่าจ้างบนพื้นฐานของเวลา คนรวยคิด ต้องได้ทั้งสองอย่าง คนจนคิด ขอให้ได้ซักอย่างหนึ่งก็พอ คนรวยให้ความใส่ใจกับสินทรัพย์สุทธิ คนจนใส่ใจกับรายได้ที่ได้จากการทำงาน คนรวยบริหารจัดการเงินของเขาอย่างดี คนจนมักจะบริหารเงินผิดพลาด คนรวยปล่อยให้เงินทำงานหนักให้เขา คนจนทำงานหนักเพื่อเงินของเขา คนรวยทำการใดๆ โดยไม่กลัว คนจนปล่อยให้ความกลัวหยุดเขาไว้ คนรวยเรียนรู้และเติบโตอย่างสม่ำเสมอ คนจนคิดว่าเขารู้ดีแล้ว



จะเห็นได้ว่า แนวความคิดทั้ง 17 ข้อนั้นหลายคนคงจะเข้าใจอย่างลึกซึ้งแล้วว่า ทำไมจึงยังไม่รวยเสียที เพราะบางข้ออาจขัดกับความรู้สึกหรือนิสัยใจคอของแต่ละคน สิ่งที่สำคัญคือ เมื่อคิดได้แล้วก็ต้องลงมือทำอย่างสม่ำเสมอจริงจัง หมั่นปรับปรุงตัวเองไปเรื่อยๆ การควบคุมตัวเองให้คิดและทำในสิ่งที่จะนำความสุขมาให้ ย่อมดีกว่าปล่อยให้ตัวเองไปตามความคิดที่ฟุ้งซ่านไร้จุดหมาย แล้วทุกคนที่ทำได้ก็จะรวยไม่ลืมหูลืมตา


ขอบคุณที่มา : http://www.fundsipo.com/


วันเสาร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2556

จุดอ่อนคนไทย 10 ประการ

จุดอ่อนคนไทย 10ประการ 

ข้อคิดดีๆจากคุณวิกรม กรมดิษฐ์

1. คนไทยรู้จักตัวตนของเราเองต่ำมาก กล่าว คือ รู้จักหน้าที่ของตัวเองต่ำมาก โดยเฉพาะหน้าที่ต่อสังคม ต่างกับชาติที่เจริญแล้ว เขาจะมีสำนึกต่อสังคม...ส่วนรวมสูงมาก

2. การศึกษาของไทยยังไม่ทันสมัย สอน ให้คนเห็นแก่ตัวมากกว่า ขาดจิตสำนึกต่อสังคม
3. คนไทยมองอนาคตไม่เป็น เท่า ที่สังเกตเห็นว่าคนไทยกว่า 70% ทำ งานแบบไร้อนาคต แบบวันต่อวัน แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปวัน ๆ น้อยนักที่จะวางแผนให้ตัวเองอย่างเป็นระบบ
4. คนไทยไม่ค่อยจะจริงจังในความรับผิดชอบต่อหน้าที่ การรับปากของเรามักทำแบบผักชีโรยหน้า หรือเกรงใจ แต่ทำได้หรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
5. การกระจายความเจริญยังไม่เต็มที่ ประเทศ ของเรากระจุกตัวความเจริญเฉพาะในเมืองใหญ่ ประชากรประมาณ 60-70% ที่อยู่ห่างไกล จะขาดโอกาสในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของตัวเองและชุมชน
6. การบังคับกฎหมายไม่เข้มแข็งและดำเนินอย่างไม่ต่อเนื่อง
7. สังคมไทยชอบอิจฉาตาร้อน ไม่ ค่อยเป็นสุภาพบุรุษ และชอบเลี่ยงเป็นศรีธนญชัย
8. เอ็นจีโอบ้านเราค้านลูกเดียว ทำ ให้เราเสียโอกาสในการพัฒนา
9. คนไทยอาจจะไม่พร้อมในเวทีโลก เพราะ ไม่ถนัดภาษาอื่น ที่ไม่ใช่ภาษาตัวเอง
10. คนไทยเลี้ยงลูกไม่เป็น ปัจจุบัน เด็กไทยขาดความอดทน ไม่มีภูมิคุ้มกัน เป็นขี้โรคทางจิตใจ ไม่เข้มแข็ง เพราะเราเลี้ยงลูกแบบไข่ในหิน ไม่ สอนให้ลูกช่วยตัวเอง

วันศุกร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2556

ข้อคิดหนังสือ :สร้างเงินล้านก่อนเรียนจบ ตอน 4

บทที่ 3 ซื้อตัวไหนดี ?
     หลังจากที่ทุกคนฟิตตัวเองก่อนลงสนามกัน ก็ได้เวลาเปิดพอร์ตลงทุนจริง ! แต่อยากเตือนนิดนึง   ถ้าบางคนชอบจองหุ้น IPO ก็ควรจะเลือกโบรกเกอร์ให้ถี่ถ้วนหน่อย  เพราะบางโบรกเกอร์เค้าจะใช้วิธีสุ่มให้ IPO  ลูกค้าตาม  Volume  หรือพอปริมาณการเทรด  ซึ่งอันนี้รายย่อยอย่างเราๆอาจจะกินแห้วได้
       สำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่พึ่งเข้ามาร่วมวง SET รอบนี้ (ตลาดกระทิงดุ) อาจจะเข้ามาโดยยังไม่ทันได้ศึกษาเรื่องหุ้นมาก่อน  เพราะคนส่วนมากก็ซื้อหุ้นตามเซียนหรือไม่ก็ซื้อตามที่โบรกเกอร์แนะนำ  ในเว็บของโบรกเกอร์ส่วนมากก็จะมีคอลัมน์ "หุ้นเด็ด" ซึ่งเป็นข่าวหรือบทความเกี่ยวกับหุ้นที่กำลังฮอต  มีข่าวดีและมีราคา  เป้าหมายที่ล่อตาล่อใจเหลือเกิน 
    หุ้นที่ขึ้นมาอยู่ในคอลัมน์หุ้นเด่น  หุ้นเด็ดส่วนใหญ่มันเป็นสัญญาณที่บอกว่าเราช้าไปแล้ว  คือราคาหุ้นขึ้นมามากแล้ว แน่นอนว่าการซื้อหุ้นที่ราคาพุ่งขึ้นมามากแล้วนั้น  ก็ทำให้มันเสี่ยงมากขึ้นด้วย
      หลายคนอาจจะถามว่า  ก็เราไม่เคยดูหุ้นมาก่อน  แล้วจะรู้ได้ไงว่าจะซื้อตัวไหน  ถ้าไม่อ่านในเว็บ  ไม่ถามโบรกเกอร์  แล้วจะไปรู้จักบริษัทดี ๆ เจ๋ง ๆ ได้ไง ? ตอบว่า อ่านน่ะนอ่านได้  แต่อ่านบทวิเคราะห์ต่าง ๆ แล้วกรุณาไปค้นคว้าหาข้อมูลเองด้วย แล้วค่อยพิจารณาว่าหุ้นนั้นดีจริง  ราคาอยู่ในช่วงที่เหมาะสมกับสภาพบริษัทหรือเปล่า 
     การซื้อหุ้นดี ๆ แต่ผิดเวลาผิดราคานั้น  ผลที่ออกมาในระยสั้นมันอาจจะแย่กว่าการที่ซื้อหุ้นไม่ดี  แต่ถูกเวลาซะอีก  ดังนั้น  การที่เราจะเลือกซื้อหุ้นซักตัวมาประดับพอร์ตที่เราเคารพรักนั้น  ก็ช่วยเลือกให้ถี่ถ้วนหน่อย 
    ถ้านักลงทุนมือใหม่ (โดยเฉพาะผู้หญิง)ใช้เวลาและความพยายามพอ ๆ กับการเลือกซื้อเสื้อผ้า  เครื่องสำอาง  ให้ตัวเอง  คงยากที่จะมีคนขาดทุน  ถามว่าใครเคยซื้อเสื้อเพียงเพราะเพื่อนโทรมาบอกว่า  เฮ้ย ซื้อเสื้อป่าว  สวยนะ  โดยที่เรายังไม่ได้เห็น  ไม่ได้ลอง  ไม่มีหรอกค่ะ 
     ผู้หญิงเวลาเข้าร้านเสื้อผ้า  ลองแล้วลองอยู่นั่นแหละ   ตัวนี้สวยมั้ย  แล้วก็ต้องเทียบกับอีกตัว  เสร็จแล้วต้องลองว่าไซส์เหมาะกับเราหรือเปล่า  แล้วก็ยังไม่เสร็จง่าย ๆ ต้องเทียบราคาก่อน เฮ้ย ! ร้านนี้ขายแพงไปป่าวเมื่อเทียบกับร้านเมื่อกี้  แล้วนี่มีโปรโมชั่นลดราคามั้ย ? ถ้ามีโปรโมชั่นเดือนหน้า  อ่ะ งั้นรอเดือนหน้าค่อยซื้อก็ได้  แล้วก็จะพยายามต่อเอา ๆ ให้ได้ราคาที่คิดว่าถูก  ที่คิดว่าคุ้มที่สุด
   ก่อนซื้อหุ้น ควรดูก่อนว่าสวย (กำไร) มั้ย เมื่อเทียบกับบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกัน  แล้วเป็นหุ้นที่เหมาะกับเรามั้ย ? หมายถึงเราเข้าใจบริษัทและธุรกิจเค้าหรือเปล่า  แล้วราคามันแพงไปหรือยัง ? เราควรจะซื้อเก็บเวลาหุ้นลงมั้ย ? (รอโปรโมชั่น) 
      ถ้าใครเอาหลักการนี้มาเลือกหุ้นด้วยตัวเองโดยที่ไม่ฟังและตามคนอื่นแบบไม่ลืมหูลืมตา  คงไม่มีใครขาดทุนหุ้นจนหมดตัว
     Peter   Lynch   นักลงทุนที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งได้เขียนไว้ในหนังสือของเค้าว่า   " ความเป็นคนธรรมดาของเรานั้นสามารถนำมาใช้ให้ได้เปรียบพวกนักวิเคราะห์ที่อาจดูอยู่แต่กราฟกับตัวเลข "
      แทนที่จะทำเรื่องที่เราไม่ถนัด  ไปพยายามซื้อตามเซียนโดยที่เราก็ไม่รู้จักธุรกิจหรือหุ้นนั้น ๆ เลย เราก็ควรมองรอบ ๆ ตัวดูว่า  สินค้าหรือบริหารที่เราขาดไม่ได้มีอะไรบ้าง  แล้วรอบ ๆ บ้านเรามีบริษัทอไรที่คนใช้บริการเยอะมาก ๆ นั่นแหละหุ้นที่ควรจะเตะตาเรา หลังจากนั้น  เราก็กลับไปศึกษาบริษัทนั้นให้ลึกลงไป ก่อนจะลงทุน

หุ้นในพอร์ตมีแต่ "หุ้นใกล้บ้าน" ที่พบเห็นหรือใช้บริการอยู่บ่อย ๆ 
และสามารถเห็นได้ชัดว่าแทบทุกคนแถวนั้นจะต้องใช้สินค้า
และบริการของบริษัทนี้


บทที่  4  กำไรบานกับหุ้นใกล้บ้าน
   หุ้นดี ๆ นั้นหายาก  ยิ่งถ้าอายุยังน้อย  ไม่มีประสบการณ์อย่างเรา ๆ ไม่ได้เป็นเซียน  ไม่ได้เป็นโบรก ฯ ก็จะยิ่งทำให้ความฝันที่จะได้หุ้นดี ๆ มาครอง ดูจะยิ่งไกลมากขึ้นไปอีก
    หุ้นดี ๆ หลายตัวนั้นมันอยู่ใกล้เรานิดเดียวเอง  แล้วยิ่งถ้าเป็นหุ้นประเภท "หุ้นใกล้บ้าน" เราก็ยิ่งมีโอกาสจะได้เห็นศักยภาพของบริษัทนั้น ๆ ก่อนที่วิเคราะห์จะออกมาเชียร์ดันราคาซะอีก  เหมือนแฟนเลย  วัยรุ่นชอบบ่นว่า  เฮ้อ.....ความรักดี ๆ อยู่ที่ไหน  แต่ดันลืมมองคนใกล้ตัวที่เราเจอเค้าบ่อย ๆ และคนที่คอยช่วยเหลือเราเสมอ ! 
       หุ้นก็เหมือนกัน  อย่างที่บอกในบทที่แล้วว่าอย่าซื้อหุ้นตามคนอื่น  โดยที่ไม่ศึกษาเองก่อน เพราะการซื้อหุ้นตัวเดียวกันแต่คนละเวลา  คนละเวลา  ผลมันต่างกันเยอะ 
  หุ้นแต่ละตัวที่จะพูดถึงนั้น  บางตัวก็พลาดซื้อไม่ทัน  บางตัวก็ขายไปแล้ว หรือบางตัวยังถืออยู่  แต่ก็แทบจะไม่มีความเสี่ยง  เพราะซื้อเก็บไว้ตั้งแต่ที่ราคาต่ำมาก ๆ  หุ้นในฝันที่ทำกำไรก็คือ เพื่อนใกล้ตัวที่เจอทุกวัน  เวลารีบ ๆ แล้วไม่มีเวลาทานข้าว  เค้าจะคอยถามเสมอว่า "รับขนมจีบกับซาลาเปามั้น" ? ใช่เลยค่ะ  CPALL นั่นเอง  
         หลายคนเคยตั้งข้อสังเกตุว่า  ร้านเซเว่นนี่มีเยอะเวอร์มาก และถ้าใครว่าจัดแบบไม่มีอะไรทำ  ก็ลองนั่งนับคนดูสิค่ะ  สิบนาทีมีคนเข้ากี่คน  พวกสาขาที่ทำเลดี ๆ อย่านับคนเลย ดูแค่แถวรอจ่ายตังค์ก็พอจะรู้แล้วว่าลูกค้าเยอะขนาดไหน  ลูกค้าเยอะ  ก็ขายของได้เยอะ  เท่ากับกำไรมากมาย  นี่แหละค่ะ  สิ่งที่เราควรสังเกตุ
          อีกตัวหนึ่งมันคือ  AOT ค่ะ ! อันนี้อาจจะไม่ทุกคนที่เดินทางต่างประเทศ  แต่พวกนักเรียนนอกหรือหลาย ๆ คนที่ต้องบิน  รวมถึงแม้กระทั่งพี่ ๆ พนักงานทุกคนที่ทำงานที่สนามบินทุกคนสามารถรู้ถึงศักยภาพของหุ้นตัวนี้  โดยไม่ต้องพึ่งเซียนคนไหน !
         พี่ ๆ น้อง ๆ ที่ได้ไปแอร์พอร์ตบ่อย ๆ คงจะสังเกตุว่าสองปีที่ผ่านมา (นับจากที่หนังสือเล่มนี้วางขายลงไป)  คนเดินทางเข้าออกไทยเยอะแค่ไหน แถวตรวจพาสปอร์ตนี่ยังกะเข้าแถวกิน After you คนเยอะจนเค้าเปลี่ยนมาให้คนไทยแตะนิ้วแทน ซึ่งคนเยอะขนาดนี้  ทุกคนก็ต้องจ่ายภาษีสนามบิน เพราะฉะนั้น ก็แน่นอนว่ารายได้ของ AOT ต้องพุ่ง เมื่อเห็นอย่างนี้เมื่อสองปีที่แล้วนานิก็เลยลองศึกษา  แล้วก็ตัดสินใจซื้อค่ะ 
     อีกตัวหนึ่ง KBANK อันนี้วัยรุ่น วัยเพิ่งทำงานคงต้องเคยตื่นเต้นกันบ้าง ? และนี่ก็นำมาสู่ประเด็นสำคัญของบทนี้  นั่นคือ เวลาเราประทับใจสินค้า  บริการ หรือเห็นว่าบริษัทไหนที่แทบทุกคนเข้าทุกคนใช้  แทนที่เราจะหยุดข้อสังเกตุและหยุดความประทับใจของเราไว้แค่นั้น  อยากให้เพื่อน ๆ ทุกคนเอาสิ่งที่เห็นมาใช้ให้เป็นประโยชน์ในการลงทุน 

เวลาเจอหุ้นเตะตา  ก็ไม่ใช่ว่าซื้อไปเลย อย่างนั้นตายพอดี
เพราะฉะนั้น  ต่อให้เจอหุ้นเตะตา  เจอบริษัทที่ "โดน" แล้ว
ก็ต้องไปศึกษาดูให้แน่ใจก่อน  แล้วถึงค่อยซื้อ 

       อีกตัวหนึ่่ง  ตัวนี้เด็ดสุด มีใครไม่เคยเดินเซ็นทรัลบ้าง ? เซ็นทรัลนี่เป็นที่สิงสถิตของพวกเราเลย เห็นเลยว่าเซ็นทรัลไปไหน  คนก็แห่กันมา  เห็นอย่างนี้นานิก็เลยเข้าซื้อหุ้นเซ็นทรัล (CPN) ที่ราคาประมาณเกือบ ๆ 20 บาท  แล้วกะถือยาว (ซึ่งถ้าถือยาวจะฉลาดมาก ๆ เพราะตอนนี้จะ 100 บาทอยู่แล้ว) 
      อยากจะบอกว่า  ศักดิ์ศรีกินไม่ได้นะคะ  ถ้าเราเกิดดวงดี  ซื้อแล้วหุ้นขึ้น โดยเหตุผลไม่ได้ตรงกับที่เราคิดไว้  ก็ไม่ต้องไปหยิ่งศักดิ์ศรีอะไรหรอก รับ ๆ กำไรไปเหอะ ! 
      ยังมีหุ้นใกล้บ้านอีกหลายตัวรอเราอยู่  อ่านบทนี้แล้ว  วันนี้ระหว่างกลับบ้านอย่าลืมมองรอบ ๆ ตัวแล้วหาบริษัทดี ๆ ที่เตะตา  เอากลับไปวิเคราะห์ต่อที่บ้านนะค่ะ 

โปรดติดตามตอนต่อไป >>>>ครับ 



วันพุธที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2556

ข้อคิดหนังสือ :สร้างเงินล้านก่อนเรียนจบ ตอน 3

THEME ๔ : (แถม)  การลงทุนในหุ้นของนานิ

    นานิเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นด้วยตัวเองได้ประมาณ   3 ปี  กว่าแล้ว   ถึงจะยังไม่ได้เก่งมากเท่าพี่ๆนักลงทุนหลายคน   แต่นานิก็อยากจะแบ่งปันความรู้ทางด้านการลงทุนในแนวแบบ  'เด็ก ๆ' ของนานิ   เผื่อว่าเพื่อนๆจะนำไปใช้ประโยชน์ได้บ้าง (สำหรับเพื่อนๆที่ไม่เคยมีประสบการณ์การลงทุนในหุ้นมาก่อน ต้องอ่านบทต่อไปนี้ให้ดี ชื่อบทว่า  "ระวังได้กำไรนะ !)
      
     บทที่ 1 :ระวังได้กำไรนะ 
 แต่ปัญหาก็คือ  ตลาดหุ้น  มันเป็นที่ ๆ มนุษย์เราสามารถทำกำไรได้มากมาย  ชนิดที่ว่าเป็นกอบเป็นกำเลยก็ว่าได้  ดังนั้น  หลายคนที่กลัวว่าตัวเองจะได้กำไรก็อาจจะกังวลว่า เอ๊ะ ! เราควรจะทำไงดีน้า ถึงจะหลบกำไรได้ ?
      ในบทนี้  จึงได้นำเคล็ดลับและเทคนิคการเล่นหุ้นหลบกำไรแบบง่ายๆมาฝากทุกคน  รับรอง 99 % ว่าจะทำให้การเล่นหุ้นของเพื่อนๆไม่ได้กำไรแน่นอน หายห่วง !

   1.อย่าอ่านหนังสือเรื่องหุ้นเด็ดขาด ! 
     การอ่านหนังสือที่สอนเราเรื่องหุ้น  โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนังสือที่เขียนโดยนักลงทุนที่เคยประสบความสำเร็จมาแล้วนั้น  มันจะทำให้เรามีความรู้เพิ่มขึ้น  และเพิ่มความน่าจะเป็นว่าเราจะได้กำไรมากขึ้นถึง 50 % เพราะฉะนั้น อย่าเสี่ยงอ่านเลยดีกว่า  ถ้าไม่อยากได้กำไร  สิ่งเดียวที่เราควรจะเรียนรู้คือ การเปิดพอร์ตและวิธีสั่งซื้อ - ขายหุ้น ก็พอแล้ว 
   2.เวลาตัดสินใจซื้อหุ้น  อย่าไปดูงบการเงิน งบการงง นะ !
      ยิ่งดูยิ่งงง  ซื้อๆตามที่คนเค้าบอกมานั่นแหละดีแล้ว  ไม่ต้องไปวิเคราะห์เองหรอก ถ้าเผลอดูไปแล้ว ก็ให้คอยระวังพวกบริษัทที่เอาแต่ทำกำไรเพิ่มขึ้นทุกปี  เราควรจะหาซื้อบริษัทที่คนส่วนใหญ่เค้ากำลังไล่ซื้อกันอยู่ตอนนี้  คือไม่ต้องไปสนใจอย่างอื่น  เอาแค่มีคนแห่ซื้อกันอยู่ก็พอ แล้วถ้ายิ่งมันเขียนคำว่า N/A  ไว้ตรงกำไรต่อหุ้นนะ  ให้รีบซื้อเลย เดี๋ยวไม่ทันขาดทุน !
    3.ให้ศึกษาราคาย้อนหลังให้ดี !
        ราคาย้อนหลังนี่สำคัญมาก  ต้องดูให้ดีจริง ๆ ไม่งั้นเราอาจจะเผลอซื้อหุ้นดี ๆ ตอนที่มันราคาถูกไป ! คือเราต้องซื้อตอนที่มันแพง ๆ ! ควรจะเลือกหุ้นที่ราคามันพุ่งขึ้นมาอย่างน้อย 50 % ภายในเวลาไม่ถึง 6 เดือน คือยิ่งราคาพุ่งเร็ว ยิ่งต้องรีบซื้อให้ทันเลยนะ 
   4.อย่าเข้าสัมมนาหาความรู้เพิ่ม แล้วก็อย่าไปเจอเพื่อนนักลงทุนใหม่ ๆ
       หลายคนอาจจะเบื่อพวกนักสัมมนาเรื่องหุ้น ชอบสอนแต่สิ่งที่จะทำให้เราได้กำไรมากขึ้นอยู่นั่นแหละ  ดังนั้น เราก็ไม่ควรจะไปฟังเรื่องพวกนั้นเด็ดขาด  อีกอย่างเวลาไปสัมมนา  ก็ต้องเจอกับพวกนักลงทุนที่ไปแรง อยากจะลงทุนให้ได้กำไรเพิ่มขึ้นทั้งนั้น  ดังนั้น  เราควรหลบให้ดี  คุยกับคนพวกนี้เยอะ ๆ เราจะได้ความรู้ใหม่ ๆ ได้ไอเดียและแนวคิดในการลงทุนใหม่ ๆ จนอาจจะทำให้เราหลงเรียนรู้และหัดตามจนได้กำไรจนได้ ! เพราะฉะนั้นต้องระวังให้ดี  
   5.ทั้งพอร์ตควรมีหุ้นแค่ตัวเดียว หรืออย่างมากก็สองตัว 
       อันนี้หลายคนอาจจะไม่รู้  อันตรายมาก  คือถ้าสมมติว่า  ในพอร์ตเราซื้อหุ้นไว้  5 ตัว ถ้าเราคาดการณ์ผิด แล้วมี 3 ตัว ที่มันดันขึ้นซะงั้น  มีลงแค่ 2 ตัว หักลบแล้วมันกลับกลายเป็นว่าเราได้กำไรขึ้นมา  มันก็จะทำให้ปวดหัวกันไปอีก ! เพราะฉะนั้น เราควรจะเอาไข่ใส่ไว้ตะกร้าเดียวกันให้หมดไปเลย  ตอนมันแตกจะได้แตกให้หมดทีเดียวไปเลย ไม่ต้องมานั่งเสียเวลาตอกทีละใบ 

    กำไร  เป็นสิ่งที่สวยงามที่เราทุกคนอยากจะได้มา แต่บางคนอาจจะเห็นภาพไม่ชัดว่าตัวเองหรือคนที่เรารู้จักแล้วเค้าเล่นหุ้นขาดทุน เค้าทำอะไรผิดถึงเล่นหุ้นทีไร ก็ได้ใช้ทุกศัพท์หุ้นเลย ตั้งแต่ตกรถ  ขายหมู  ติดดอย 
    นานิก็เลยใช้ "เคล็ดลับ 5 อย่าง  : ทำอย่างไรให้ไมได้กำไร " มาทำให้ทุกคนเห็นภาพชัดขึ้น  ถ้าใครเจอข้อไหนตรงกับตัวเองจะได้ร้องอ๋อ  และเข้าใจว่าตัวเองทำพลาดอะไรไป 
      ทีนี้  ทำยังไงถึงจะได้กำไรล่ะ ? อันนี้คงต้องคุยกันอีกยาวมาก ในบทถัดไป 

หลาย ๆ คนที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นนั้น
มีพฤติกรรมในการซื้อ - ขาย ราวกับว่า
พวกเค้ากลัวว่าจะได้กำไรอย่างนั้นแหละ


    บทที่ 2 : ฟิตตัวเองก่อนลงสนาม 

     บทนี้  อยากจะให้ทุกคนกลับมาคิดว่า  แล้วเราจะทำยังไงล่ะ  ถึงจะทำให้ได้กำไรมาประดับพอร์ต เริ่มต้นง่ายๆก็คือการเตรียมตัวเองให้พร้อมนั้นเอง 
     อย่างแรกที่ต้องทำเลยก็คือ " หาความรู้ " เวลาใครถามว่า  "ถ้าอยากจะเล่นหุ้น ควรจะเริ่มยังไงดี" คำตอบ : ให้อ่านหนังสือ  เพราะการเรียนรู้เรื่องการลงทุนก็เหมือนเป็นวิชาความรู้แขนงหนึ่ง  
     การจะเรียนรู้วิชาใหม่ ๆ เราก็ควรจะอ่านหนังสือของปรมาจารย์ที่เคยประสบความสำเร็จในการลงทุนมาแล้ว เพราะมันจะทำให้เราได้ไอเดียที่จำเป็นสำหรับการเอาตัวรอดในสนามจริง 
    หลังจากอ่านหนังสือเพิ่มความรู้ในตำราแล้ว  เราก็จะต้องเพิ่มความรู้รอบตัวทางเศรษฐกิจด้วย  นั่นคือต้องหัดอ่่านหนังสือพิมพ์หรือถ้าขี้เกียจอ่าน  ก็ให้ดูข่าวในทีวีเอา  เราจะได้รู้ว่าชาวโลกทั้งหลายเค้าทำอะไรกันอยู่
   ดังนั้น  เวลามีเรื่องราวใหม่ ๆ ทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้านั้น  เศรษฐกิจไทยและบริษัทที่เราถือหุ้นอยู่  ก็อาจจะได้รับผลกระทบได้วย  ยิ่งถ้าเราถือหุ้นบริษัทที่ส่งออกสินค้าหรือมีการนำเข้าวัตถุดิบเพื่อมาผลิตสินค้านั้น  ก็ยิ่งกระทบใหญ่
     นอกจากนี้   ว่างๆก็ควรจะเช็คดูเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนอยู่เสมอ  ถือเป็นการอัพเดทตัวเอง
     อีกอย่างที่สำคัญก็คือ "การซ้อมฝีมือ"  ขนาดนักกี่ฬา นักดนตรี ฯลฯ เรายังหนีไม่พ้นเรื่องการซ้อมหนักก่อนที่จะลงแข่งจริง  เรื่องหุ้นก็ต้องซ้อมหนักเช่นกัน
     
การลงทุนแรก ๆ แล้วขาดทุน  เราไม่ควรเรียกว่าขาดทุน  
ควรถือซะว่าเป็นการ  "จ่ายค่าเทอม" สำหรับการเรียนรู้เรื่องหุ้นของเรา 
 เพราะไม่มีใครหรอกที่ไม่เคยขาดทุนเลย
     
     การลงทุนไม่ว่าจะในหุ้นหรือในอะไรก็ตาม  มันไม่ได้ง่ายเหมือนอย่างที่คิด  มันไม่ใช่แค่เรื่องการคลิกซื้อ - ขาย แต่มันต้องใช้ทั้งความรู้และจิตวิทยาประกอบกับความใจเย็นมาช่วยกัน
      ดังนั้น  ทุกคนอย่าเพิ่งใจร้อนเอาเงินออมไปเปิดพอร์ตก่อน  ลองเอาเงินปลอมมาจ่ายค่าเทอมให้ตัวเองก่อนดีกว่า 

 โปรดติดตามตอนต่อไป >>>>ครับ 


วันจันทร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2556

ข้อคิดหนังสือ :สร้างเงินล้านก่อนเรียนจบ ตอน 2

   THEME ๓ : ต่อไป 
     ถ้าชอบการลงทุนแล้ว  ก็ให้ลงทุนและทำธุรกิจเถอะ  การเป็นหมอหนึ่งคน  ทั้งชีวิตจะช่วยคนได้กี่คน ? ควรจะคิดให้ใหญ่ขึ้น  ถ้าอยากจะช่วยหลาย ๆ คนจริง ๆ ก็ให้สร้างโรงพยาบาล  สร้างคลีนิคที่่ราคาย่อมเยา  มันจะช่วยคนได้มากกว่ากันเยอะ หรือถ้าจะให้ดีกว่านั้น ก็เป็นนักธุรกิจที่สร้างคนขึ้นมาเพื่อเป็นกำลังของสังคมต่อไป 
   ใน   Theme นี้   มีข้อคิดตอนโค้งสุดท้ายที่จะทำให้เราไปถึงความฝันเงินล้านของตัวเองให้เร็วขึ้น  มาฝากให้เพื่อน ๆ เอากลับไปลองทำดู 
      การสร้างเงินล้าน แน่นอน ! ถ้าเราอยากให้ชีวิตเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น เราก็จะต้องเปลี่ยนตัวเองออกจากกรอบเดิม ๆ จากการทำเรื่องเดิม ๆ เพื่อพัฒนาตัวเองให้พร้อมให้ดีขึ้น
    ถ้าเราค้นพบตัวเองและอยากจะหลุดออกมาจากชีวิตเดิม ๆ  อยากให้ถามตัวเองว่า เพื่อน ๆ ยังโต     ยังแกร่งไม่พอที่จะเริ่ม หรือจริงๆแล้ว เพื่อน ๆ คิดกันไปเองว่าโซ่มันหนาเกินกำลังเรากันแน่ ?
        อยากฝากให้เพื่อน  ๆ ไปคิดว่า  ความหมายของการใช้ชีวิตมันคืออะไร ? จริง ๆ แล้ว อยากทำอะไร ถ้าชอบทำงาน   ถ้ามันเป็นความสุขก็ทำไปเถอะ  ทำสิ่งที่ตัวเองชอบ  แต่ว่าถ้าอยากจะหลุดออกจากวงจรนี้  ก็อยากฝากให้ไปคิด  แล้วเริ่มวางแผนการเงิน  วางแผนให้ดี  จะได้เกษียณได้ในวัยที่เราต้องการ ในวัยที่เรายังมีพลังที่จะออกไป “ใช้ชีวิต”
การจะเกษียณก่อนวัยได้  คือต้องมีอิสรภาพทางการเงิน   ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องหมายถึงเงินร้อยล้าน  พันล้าน การจะมีอิสรภาพทางการเงินก็แค่เราใช้จ่ายน้อยกว่า  Passive Income  (รายได้ที่เข้ามาโดยเราไม่ต้องทำอะไรมาก เช่น  ค่าเช่าบ้านที่เราซื้อไว้ให้คนอื่นเช่า,เงินปันผลจากหุ้น,ดอกเบี้ยจากเงินที่เราปล้อยกู้ ฯลฯ)
โอกาสของคนเรามันมาได้ 2 ทาง  คือหนึ่งมีคนยื่นโอกาสนั้นให้เรา  สองเราต้องไขว่คว้าหาโอกาสด้วยตัวของเราเอง ดังนั้น ไม่ต้องรอให้โอกาสโผล่มาให้เราคว้า เดินเข้าไปขอโอกาสกันเลยดีกว่า =)
เวลาจะเริ่มลงทุนทำธุรกิจอะไรก็ตาม  เคยมีคนพูดว่า “อย่าลองความลึกของแม่น้ำ  ด้วยการจุ่มขาทั้งสองข้าง”  แปลว่า  อย่าทุ่มหมดตัว  เพราะถ้าน้ำลึก  น้ำเชี่ยวล่ะก็  คงไม่สนุกเท่าไหร่
ถ้าเรามองว่าเรื่องที่อยู่ตรงหน้ามันเป็นอุปสรรค มันก็คืออุปสรรค  แต่ถ้าเรามองว่ามันเป็นด่านวัดฝีมือที่ท้าให้เราลองข้ามไป มันก็ไม่ใช่อุปสรรค  แต่เป็นเกมนึงในชีวิตที่เราสนุกไปกับการข้ามมันให้ได้ ซึ่งด่านวัดฝีมือนี่แหละที่เราควรอยากจะเจอ   อยากจะท้าทายตั้งแต่ตอนนี้    เพราะถึงเวลาท่องยุทธภพจริงๆ เราก็จะได้เก่งพอที่จะรับมือกับเรื่องอื่นๆที่หนักกว่าเดิมได้
อะไรยากขึ้นมาหน่อยหรืออะไรมาขวางทางเรา    ทำให้เราลำบากขึ้นหน่อย ก็อย่าไปเรียกมันว่าอุปสรรค   แล้วก็อย่าไปกลัว   เราควรจะดีใจซะอีกที่ได้เจอความลำบาก  เพราะมันจะฝึกให้เราเก่งขึ้น
อุปสรรคมันกินความกลัวเป็นอาหาร  ยิ่งเรากลัว  เรายิ่งป้อนมัน   ทำให้มันตัวใหญ่ขึ้น และมันจะอ้วนมาก ๆ  โดยเฉพาะเวลาที่เราเก็บเอาคำของคนรอบ  ๆ ตัวมาคิดแล้วคิดอีก  ดังนั้น   เวลาอยากจะเริ่มทำอะไรใหม่ๆ ให้ฟังแต่คำแนะนำว่า  ลองทำแบบนี้นะ   น่าจะทำให้ผ่านเรื่องนี้ไปได้  อะไรแบบนี้ ไม่ใช่คำเตือนว่าทำไม่ได้หรอก   ไม่ไหวหรอก  คำพวกนี้ตัดไปเลย   ไม่ต้องฟัง   ไม่ต้องเก็บมาคิด

นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมากมายนั้น  ส่วนมากเป็นเพราะเค้านำเสนอผลิตภัณฑ์ที่สร้างประโยชน์หรือความสะดวกสบายให้กับผู้คนมากมายทั้งนั้น 
ยิ่งเราให้ประโยชน์แก่คนอื่นมากเท่าไหร่  เราก็จะยิ่งได้มันกลับมาเท่านั้น  ยิ่งเราสอนเพื่อน  ความรู้มันก็ยิ่งฝังลึกจนเราจำแม่น  ยิ่งเราช่วยคนอื่น  เราก็จะยิ่งได้ความนับถือความจริงใจจากคนรอบข้าง

ดังนั้น 
 แทนที่เราจะใช้ชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง  
เราก็ควรจะใช้มันเพื่อผู้อื่นด้วย

 ข้อคิดที่ 19 ไม่ต้องชนะทุกครั้งที่รบ  แค่ต้องชนะสงครามเท่านั้น
ในสงคราม  แน่นอนว่าจะต้องมีการรบกันหลายครั้ง ปะทะกันหลายจุด  แม่ทัพไม่สามารถที่จะส่งกำลังไปบุกในทุกๆจุดที่มีข้าศึกอยู่  เพราะจะทำให้กองทัพแต่ละกองที่ไปตามจุด มีขนาดเล็กลงไป ดังนั้น เทคนิคที่แม่ทัพใช้กันก็คือ  ยอมรบแพ้ในจุดที่ไม่สำคัญ  
ในชีวิตก็เหมือนกัน  เป็นไปไม่ได้ที่เราจะชนะและได้ตามที่อยากได้ทุกครั้ง มันคงต้องมีบ้างครั้งที่แพ้บ้าง  แต่ที่สำคัญที่สุดคือต้องโจมตีจุดยุทธศาสตร์  พุ่งเข้าชนเป้าหมายหลักของชีวิตให้ได้เท่านั้น 
เป้าหมายในชีวิต มันมีทางไปหลายทาง.....

การแพ้ที่ด่านซักด่านสองด่าน 
ระหว่างสงครามนั้นมันแทบไม่มีผลอะไรเลย  
สุดท้ายถ้าเรายึดเมืองหลวงได้คือจบ 
เราก็ชนะอยู่ดี

หลายคนผัดวันประกันพรุ่ง  คิดว่าเรายังเด็ก ยังอายุน้อย เดี๋ยวค่อยเริ่มก็ได้  เดี๋ยวค่อยทำก็ได้ แต่เคยได้ยินที่เค้าบอกกันว่า


'when   you're  young,  you  have  time and  energy : but   no  money.'
'when   you're  an   adult, you have  energy  and money : but  no time.'
'when   you're  old,  you  have time  and  money : but  no energy.'

ตอนนี้  เรามีทั้งเวลาและพลังงาน  ทำไมไม่ทำให้ตัวเองมีเงินขึ้นมาด้วยเลยล่ะ ? ทำตั้งแต่วันนี้  เราจะได้ใช้ชีวิตให้เต็มที่ทั้งชีวิต ไม่ต่องไปรออะไร  เหมือนที่วง One  Direction บอกให้เรา Live  While We're  Young ไงล่ะ
อีกอย่าง ถ้าเริ่มตอนนี้ เราอาจจะได้มีอิสรภาพทางการเงินเร็วขึ้น  ตอนโตเราจะได้ไม่มีปัญหาต้องมานั่งหาเงินจนไม่มีเวลาให้ตัวเองและครอบครัว  พอแก่แล้วเราก็ไม่ต้องมานั่งเสียดายว่ามีทั้งเวลา  ทั้งเงิน  แต่ไม่มีพลังเหลือให้ทำในสิ่งที่อยากทำ  เพราะถ้าเราเริ่มสร้างตัววันนี้ กว่าเราจะแก่  เราก็คงมีโอกาสมีเงินและมีเวลาให้ได้ทำแทบทุกเรื่องที่เราอยากจะทำ 

ใช้ชีวิตของตัวเองอย่างเต็มที่  
อย่าให้อะไรหรือใครมาขวางทางเราได้ !


โปรดติดตามตอนต่อไป >>>> The  End

วันศุกร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2556

กฎ 20 ข้อแห่งความสำเร็จ

วันนี้คุณมีแรงบันดาลใจในการสร้างอนาคตของคุณหรือยัง 
วันนี้คุณมีความอยากทีจะประสบความสำเร็จหรือยัง 
วันนี้คุณมีความฝัน  และสร้างแรงบันดาลใจ อันนำไปสู่ความสำเร็จแล้วหรือยัง 
ถ้าคุณยังมัวแต่ตั้งคำถามหรือยังมีความสงสัย  ??? อยู่ โดยที่ปราศจากการลงมือทำ   
คุณจะพลาดโอกาสนั้นทันที 
ลองมาดูวิธีเกี่ยวกับกฎ 20 ข้อแห่งความสำเร็จกันว่าใน 20 ข้อนี้ คุณเริ่มทำหรือยัง !

1. ฝันต้องยิ่งใหญ่
2. เป้าหมายเด่นชัด
3. ฝึกหัดให้ชำนาญ
4. กระทำการอย่างมุ่งมั่น
5. มนุษย์สัมพันธุ์ต้องดีเยี่ยม
6. เต็มเปี่ยมด้วยกำลังใจ
7. ใช้คนตามความสามารถ
8. ฉลาดในการแก้ปัญหา
9. มีความปรารถนาอยากสำเร็จ
10.ศึกษากลเม็ดทุกหลักสูตร
11.หนักแน่น
12.มั่นคง
13.ไม่หูเบา
14.ไม่เจ้าอารมณ์
15.ไม่ข่มพวกพ้อง
16.ไม่จองเวร
17.ไม่เห็นแก่ตัว
18.ไม่กลัวเหนื่อย
19.ไม่เฉื่อยชา
20.อย่าชักช้ากับโอกาส

ขอบคุณที่มา เพจ :Kitichai Taechangamlert