บทที่ 3 ซื้อตัวไหนดี ?
หลังจากที่ทุกคนฟิตตัวเองก่อนลงสนามกัน ก็ได้เวลาเปิดพอร์ตลงทุนจริง ! แต่อยากเตือนนิดนึง ถ้าบางคนชอบจองหุ้น IPO ก็ควรจะเลือกโบรกเกอร์ให้ถี่ถ้วนหน่อย เพราะบางโบรกเกอร์เค้าจะใช้วิธีสุ่มให้ IPO ลูกค้าตาม Volume หรือพอปริมาณการเทรด ซึ่งอันนี้รายย่อยอย่างเราๆอาจจะกินแห้วได้
สำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่พึ่งเข้ามาร่วมวง SET รอบนี้ (ตลาดกระทิงดุ) อาจจะเข้ามาโดยยังไม่ทันได้ศึกษาเรื่องหุ้นมาก่อน เพราะคนส่วนมากก็ซื้อหุ้นตามเซียนหรือไม่ก็ซื้อตามที่โบรกเกอร์แนะนำ ในเว็บของโบรกเกอร์ส่วนมากก็จะมีคอลัมน์ "หุ้นเด็ด" ซึ่งเป็นข่าวหรือบทความเกี่ยวกับหุ้นที่กำลังฮอต มีข่าวดีและมีราคา เป้าหมายที่ล่อตาล่อใจเหลือเกิน
หุ้นที่ขึ้นมาอยู่ในคอลัมน์หุ้นเด่น หุ้นเด็ดส่วนใหญ่มันเป็นสัญญาณที่บอกว่าเราช้าไปแล้ว คือราคาหุ้นขึ้นมามากแล้ว แน่นอนว่าการซื้อหุ้นที่ราคาพุ่งขึ้นมามากแล้วนั้น ก็ทำให้มันเสี่ยงมากขึ้นด้วย
หลายคนอาจจะถามว่า ก็เราไม่เคยดูหุ้นมาก่อน แล้วจะรู้ได้ไงว่าจะซื้อตัวไหน ถ้าไม่อ่านในเว็บ ไม่ถามโบรกเกอร์ แล้วจะไปรู้จักบริษัทดี ๆ เจ๋ง ๆ ได้ไง ? ตอบว่า อ่านน่ะนอ่านได้ แต่อ่านบทวิเคราะห์ต่าง ๆ แล้วกรุณาไปค้นคว้าหาข้อมูลเองด้วย แล้วค่อยพิจารณาว่าหุ้นนั้นดีจริง ราคาอยู่ในช่วงที่เหมาะสมกับสภาพบริษัทหรือเปล่า
การซื้อหุ้นดี ๆ แต่ผิดเวลาผิดราคานั้น ผลที่ออกมาในระยสั้นมันอาจจะแย่กว่าการที่ซื้อหุ้นไม่ดี แต่ถูกเวลาซะอีก ดังนั้น การที่เราจะเลือกซื้อหุ้นซักตัวมาประดับพอร์ตที่เราเคารพรักนั้น ก็ช่วยเลือกให้ถี่ถ้วนหน่อย
ถ้านักลงทุนมือใหม่ (โดยเฉพาะผู้หญิง)ใช้เวลาและความพยายามพอ ๆ กับการเลือกซื้อเสื้อผ้า เครื่องสำอาง ให้ตัวเอง คงยากที่จะมีคนขาดทุน ถามว่าใครเคยซื้อเสื้อเพียงเพราะเพื่อนโทรมาบอกว่า เฮ้ย ซื้อเสื้อป่าว สวยนะ โดยที่เรายังไม่ได้เห็น ไม่ได้ลอง ไม่มีหรอกค่ะ
ผู้หญิงเวลาเข้าร้านเสื้อผ้า ลองแล้วลองอยู่นั่นแหละ ตัวนี้สวยมั้ย แล้วก็ต้องเทียบกับอีกตัว เสร็จแล้วต้องลองว่าไซส์เหมาะกับเราหรือเปล่า แล้วก็ยังไม่เสร็จง่าย ๆ ต้องเทียบราคาก่อน เฮ้ย ! ร้านนี้ขายแพงไปป่าวเมื่อเทียบกับร้านเมื่อกี้ แล้วนี่มีโปรโมชั่นลดราคามั้ย ? ถ้ามีโปรโมชั่นเดือนหน้า อ่ะ งั้นรอเดือนหน้าค่อยซื้อก็ได้ แล้วก็จะพยายามต่อเอา ๆ ให้ได้ราคาที่คิดว่าถูก ที่คิดว่าคุ้มที่สุด
ก่อนซื้อหุ้น ควรดูก่อนว่าสวย (กำไร) มั้ย เมื่อเทียบกับบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกัน แล้วเป็นหุ้นที่เหมาะกับเรามั้ย ? หมายถึงเราเข้าใจบริษัทและธุรกิจเค้าหรือเปล่า แล้วราคามันแพงไปหรือยัง ? เราควรจะซื้อเก็บเวลาหุ้นลงมั้ย ? (รอโปรโมชั่น)
ถ้าใครเอาหลักการนี้มาเลือกหุ้นด้วยตัวเองโดยที่ไม่ฟังและตามคนอื่นแบบไม่ลืมหูลืมตา คงไม่มีใครขาดทุนหุ้นจนหมดตัว
Peter Lynch นักลงทุนที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งได้เขียนไว้ในหนังสือของเค้าว่า " ความเป็นคนธรรมดาของเรานั้นสามารถนำมาใช้ให้ได้เปรียบพวกนักวิเคราะห์ที่อาจดูอยู่แต่กราฟกับตัวเลข "
แทนที่จะทำเรื่องที่เราไม่ถนัด ไปพยายามซื้อตามเซียนโดยที่เราก็ไม่รู้จักธุรกิจหรือหุ้นนั้น ๆ เลย เราก็ควรมองรอบ ๆ ตัวดูว่า สินค้าหรือบริหารที่เราขาดไม่ได้มีอะไรบ้าง แล้วรอบ ๆ บ้านเรามีบริษัทอไรที่คนใช้บริการเยอะมาก ๆ นั่นแหละหุ้นที่ควรจะเตะตาเรา หลังจากนั้น เราก็กลับไปศึกษาบริษัทนั้นให้ลึกลงไป ก่อนจะลงทุน
หุ้นในพอร์ตมีแต่ "หุ้นใกล้บ้าน" ที่พบเห็นหรือใช้บริการอยู่บ่อย ๆ
และสามารถเห็นได้ชัดว่าแทบทุกคนแถวนั้นจะต้องใช้สินค้า
และบริการของบริษัทนี้
บทที่ 4 กำไรบานกับหุ้นใกล้บ้าน
หุ้นดี ๆ นั้นหายาก ยิ่งถ้าอายุยังน้อย ไม่มีประสบการณ์อย่างเรา ๆ ไม่ได้เป็นเซียน ไม่ได้เป็นโบรก ฯ ก็จะยิ่งทำให้ความฝันที่จะได้หุ้นดี ๆ มาครอง ดูจะยิ่งไกลมากขึ้นไปอีก
หุ้นดี ๆ หลายตัวนั้นมันอยู่ใกล้เรานิดเดียวเอง แล้วยิ่งถ้าเป็นหุ้นประเภท "หุ้นใกล้บ้าน" เราก็ยิ่งมีโอกาสจะได้เห็นศักยภาพของบริษัทนั้น ๆ ก่อนที่วิเคราะห์จะออกมาเชียร์ดันราคาซะอีก เหมือนแฟนเลย วัยรุ่นชอบบ่นว่า เฮ้อ.....ความรักดี ๆ อยู่ที่ไหน แต่ดันลืมมองคนใกล้ตัวที่เราเจอเค้าบ่อย ๆ และคนที่คอยช่วยเหลือเราเสมอ !
หุ้นก็เหมือนกัน อย่างที่บอกในบทที่แล้วว่าอย่าซื้อหุ้นตามคนอื่น โดยที่ไม่ศึกษาเองก่อน เพราะการซื้อหุ้นตัวเดียวกันแต่คนละเวลา คนละเวลา ผลมันต่างกันเยอะ
หุ้นแต่ละตัวที่จะพูดถึงนั้น บางตัวก็พลาดซื้อไม่ทัน บางตัวก็ขายไปแล้ว หรือบางตัวยังถืออยู่ แต่ก็แทบจะไม่มีความเสี่ยง เพราะซื้อเก็บไว้ตั้งแต่ที่ราคาต่ำมาก ๆ หุ้นในฝันที่ทำกำไรก็คือ เพื่อนใกล้ตัวที่เจอทุกวัน เวลารีบ ๆ แล้วไม่มีเวลาทานข้าว เค้าจะคอยถามเสมอว่า "รับขนมจีบกับซาลาเปามั้น" ? ใช่เลยค่ะ CPALL นั่นเอง
หลายคนเคยตั้งข้อสังเกตุว่า ร้านเซเว่นนี่มีเยอะเวอร์มาก และถ้าใครว่าจัดแบบไม่มีอะไรทำ ก็ลองนั่งนับคนดูสิค่ะ สิบนาทีมีคนเข้ากี่คน พวกสาขาที่ทำเลดี ๆ อย่านับคนเลย ดูแค่แถวรอจ่ายตังค์ก็พอจะรู้แล้วว่าลูกค้าเยอะขนาดไหน ลูกค้าเยอะ ก็ขายของได้เยอะ เท่ากับกำไรมากมาย นี่แหละค่ะ สิ่งที่เราควรสังเกตุ
อีกตัวหนึ่งมันคือ AOT ค่ะ ! อันนี้อาจจะไม่ทุกคนที่เดินทางต่างประเทศ แต่พวกนักเรียนนอกหรือหลาย ๆ คนที่ต้องบิน รวมถึงแม้กระทั่งพี่ ๆ พนักงานทุกคนที่ทำงานที่สนามบินทุกคนสามารถรู้ถึงศักยภาพของหุ้นตัวนี้ โดยไม่ต้องพึ่งเซียนคนไหน !
พี่ ๆ น้อง ๆ ที่ได้ไปแอร์พอร์ตบ่อย ๆ คงจะสังเกตุว่าสองปีที่ผ่านมา (นับจากที่หนังสือเล่มนี้วางขายลงไป) คนเดินทางเข้าออกไทยเยอะแค่ไหน แถวตรวจพาสปอร์ตนี่ยังกะเข้าแถวกิน After you คนเยอะจนเค้าเปลี่ยนมาให้คนไทยแตะนิ้วแทน ซึ่งคนเยอะขนาดนี้ ทุกคนก็ต้องจ่ายภาษีสนามบิน เพราะฉะนั้น ก็แน่นอนว่ารายได้ของ AOT ต้องพุ่ง เมื่อเห็นอย่างนี้เมื่อสองปีที่แล้วนานิก็เลยลองศึกษา แล้วก็ตัดสินใจซื้อค่ะ
อีกตัวหนึ่ง KBANK อันนี้วัยรุ่น วัยเพิ่งทำงานคงต้องเคยตื่นเต้นกันบ้าง ? และนี่ก็นำมาสู่ประเด็นสำคัญของบทนี้ นั่นคือ เวลาเราประทับใจสินค้า บริการ หรือเห็นว่าบริษัทไหนที่แทบทุกคนเข้าทุกคนใช้ แทนที่เราจะหยุดข้อสังเกตุและหยุดความประทับใจของเราไว้แค่นั้น อยากให้เพื่อน ๆ ทุกคนเอาสิ่งที่เห็นมาใช้ให้เป็นประโยชน์ในการลงทุน
เวลาเจอหุ้นเตะตา ก็ไม่ใช่ว่าซื้อไปเลย อย่างนั้นตายพอดี
เพราะฉะนั้น ต่อให้เจอหุ้นเตะตา เจอบริษัทที่ "โดน" แล้ว
ก็ต้องไปศึกษาดูให้แน่ใจก่อน แล้วถึงค่อยซื้อ
อีกตัวหนึ่่ง ตัวนี้เด็ดสุด มีใครไม่เคยเดินเซ็นทรัลบ้าง ? เซ็นทรัลนี่เป็นที่สิงสถิตของพวกเราเลย เห็นเลยว่าเซ็นทรัลไปไหน คนก็แห่กันมา เห็นอย่างนี้นานิก็เลยเข้าซื้อหุ้นเซ็นทรัล (CPN) ที่ราคาประมาณเกือบ ๆ 20 บาท แล้วกะถือยาว (ซึ่งถ้าถือยาวจะฉลาดมาก ๆ เพราะตอนนี้จะ 100 บาทอยู่แล้ว)
อยากจะบอกว่า ศักดิ์ศรีกินไม่ได้นะคะ ถ้าเราเกิดดวงดี ซื้อแล้วหุ้นขึ้น โดยเหตุผลไม่ได้ตรงกับที่เราคิดไว้ ก็ไม่ต้องไปหยิ่งศักดิ์ศรีอะไรหรอก รับ ๆ กำไรไปเหอะ !
ยังมีหุ้นใกล้บ้านอีกหลายตัวรอเราอยู่ อ่านบทนี้แล้ว วันนี้ระหว่างกลับบ้านอย่าลืมมองรอบ ๆ ตัวแล้วหาบริษัทดี ๆ ที่เตะตา เอากลับไปวิเคราะห์ต่อที่บ้านนะค่ะ
โปรดติดตามตอนต่อไป >>>>ครับ