วันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2556

นาฬิกาชีวิต : ตอนนี้ชีวิตของคุณกี่โมงแล้ว

   บนโต๊ะทำงานของผมมีนาฬิกาตั้งไว้อยู่หนึ่งเรือน ความจริงแล้วนาฬิกาเรือนนี้ยังใช้งานได้ดีอยู่ แต่เพราะผมเอาถ่านออก เข็มของมันจึงหยุดนิ่งอยู่กับที่  นาฬิกาเรือนนี้ไม่ได้มีหน้าที่เพียงแค่ประดับโต๊ะทำงานเฉยๆเท่านั้น เพราะเมื่อครบรอบวันเกิดของผมในทุกปี  ผมจะหมุนเข็มนาฬิกาให้เคลื่อนไปข้างหน้า 18 นาที 

1
 
    นาฬิกาของชีวิตหมุนผ่านไปเร็วเสมอ  เพียงแค่ชั่วอึดใจคำนำหน้าชื่อของเราก็ถูกเปลี่ยนเป็นนายเสียแล้ว วันพรุ่งนี้และวันมะรืนเดินทางมาถึงอย่างเงียบงัน  ไม่นานนักอายุของเราก็ย่างเข้าสู่ "หลักสามสิบ" ก่อนถึงช่วงอายุนี้  หากชีวิตปราศจากการวางแผนที่มุ่งมั่น หรือไม่อาจทำให้ความฝันใดๆลุล่วงเป็นจริงได้  พลังชีวิตที่เคยมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยมก็จะมอดมลายหายไป ท้ายที่สุดก็ทำได้แค่เพียงคร่ำครวญต่อเวลาที่หมดไปและต้องยอมจำนนต่อชีวิตที่เป็นอยู่อย่างไม่มีเงื่อนไข และแล้ววัยสามสิบก็เริ่มต้นขึ้น
     ชีวิตนักศึกษามหาวิทยาลัยดำเนินไปอย่างเร่งรีบ  ทุกคนจำเป็นต้องคำนวณหน่วยกิตวิชาเอก  วิชาโท อย่างรอบคอบ  เพื่อจะได้จบปริญญาตรีภายใน 4 ปี ทว่าในยุคปัจจุบัน  การหางานเต็มไปด้วยการแข่งขันที่ดุเดือด  ความรู้ในรั้วมหาวิทยาลัยเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ หลายคนจึงพยายามเพิ่ม "ความสามารถ" และหาประสบการณ์เสริม อาทิเช่น การเรียนกวดวิชา  การฝึกงาน  การทำงานพิเศษ ฯลฯ บางคนอาจไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศสักเทอมหรือสองเทอม  นักศึกษาชายต้องไปเกณฑ์ทหาร  ส่วนคนที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ติด  พักการเรียน  หรือเปลี่ยนวิชาเอก อาจใช้เวลาเพิ่มขึ้นอีก 1-2 ปี หลังจากเรียนจบก็ยังต้องเรียนเพิ่มเพื่อเตรียมสอบคัดเลือกเข้าทำงานหรือเรียนต่อต่างประเทศ พอรู้ตัวอีกทีเข็มของอายุก็ชี้ไปที่เลขสามแล้ว
     แม้วัยรุ่นจะไม่ใช่คนที่กำลังเผชิญหน้ากับวัยสามสิบ  แต่ส่วนใหญ่ต่างก็หวาดกลัวต่อความรวดเร็วของเวลานักศึกษาชั้นปีที่ 2 กังวลใจต่อการเรียน  จนลืมความสนุกของชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยปีแรกไปจนหมด หรือนักศึกษาปีที่ 3 ที่เอาแต่ครุ่นคิดถึงชีวิตหลังเรียนจบ ซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นอย่างพะว้าพะวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบัณฑิตจบใหม่ที่กำลังว่างงานอยู่ ทุกวันของพวกเขาผ่านไปอย่างร้อนใจและท้อแท้ หากทุกคนใช้ชีวิตรีบเร่งมากขนาดนี้  แล้วจะลดความหวาดกลัวต่อความล้มเหลวหรือความสำเร็จในชีวิตได้จริงหรือ  ถ้าคิดดูให้ดีจะพบว่่า ความปรารถนาของพวกเราล้วนแต่เป็นเรื่องฉาบฉวย ไม่ว่าจะอยากประสบความสำเร็จเร็วๆ อยากได้งานดีๆ ก่อนใคร ...และไม่แน่ว่าตัวคุณซึ่งกำลังอ่านหนังสือเล่มนี้อยู่ ก็อาจหวั่นไหวอยู่ลึกๆว่า "อายุขนาดนี้แล้ว  แต่ยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย..."



     ชีวิตของคุณอายุเท่าไหร่กันแน่ !
    
     เมื่อได้ยินคำถามนี้ครั้งแรกอาจรู้สึกงงได้  ถ้าอย่างนั้นผมขอแจกแจงอย่างละเอียด โดยกำหนดให้ชีวิตของมนุษย์ตั้งแต่เกิดจนตายให้มีค่าเท่ากับเวลา 24 ชั่วโมงในครึ่งวัน ตอนนี้ชีวิตของคุณน่าจะตรงกับเวลาใด เวลาเที่ยงตรงซึ่งดวงอาทิตย์ฉายแสงร้อนแรงที่สุด หรือเป็นเวลายามบ่ายที่ต้องเริ่มทำงานอีกครั้งหลังจากพักกลางวัน
     หากเราลองนำอายุ  บัณฑิตที่เพิ่งเรียนจบหมาดๆในวัย 24 ปี มาคำนวณด้วยสูตรอย่างจริงจัง กำหนดให้อายุขัยเฉลี่ยอยู่ที่ 80 ปี ในเวลา 24 ชั่วโมง  คนที่อายุ 24 ปี ซึ่งสามารถมีอายุขัยถึง 80 ปี จะมีนาฬิกาชีวิตตรงกับกี่โมง กี่นาที  กันนะ
       คำตอบคือ  เจ็ดโมง 12 นาที

        เวลาเจ็ดโมง 12 นาทีอาจดูเช้ามาก แต่เวลาเดียวกันนี้ ใครบางคนอาจกำลังกระวีกระวาดรีบตื่นนอน  และใครบางคนที่ชอบนอนตื่นสาย  อาจกำลังนอนหลับปุ๋ยอย่างสบายใจ แต่ทั้งนี้ทุกคนที่อายุ 24 ปี จะอยู่ในเวลาเดียวกัน คือ เจ็ดโมง 12 นาที
        ในฐานะที่ผมเป็นอาจารย์  จึงได้เห็นการเติบโตของคนหนุ่มสาวมากมาย ถ้าเปรียบให้เวลาชีวิตเริ่มต้นที่เจ็ดโมง 12 นาที  จะเห็นภาพได้ชัดเจนที่สุด เพราะอายุ 24  เป็นช่วงเวลาที่มนุษย์ข้ามผ่านวัยเยาว์และความคึกคะนองประสาวัยรุ่นมาจนเกือบหมดแล้ว  เป็นช่วงเวลาชีวิตที่ต้องเตรียมพร้อมสู่การเป็นส่วนหนึ่งในสังคมอย่างจริงจัง  ซึ่งน่าจะตรงกับเวลาออกจากบ้านตอนเช้าไปทำงานพอดี
        ถ้าเช่นนั้ คนอายุ 60 ปี ในวัยเกษียณน่าจะตรงกับเวลาใดกัน  คำตอบคือ  หกโมงเย็น  เป็นเวลาที่คนส่วนใหญ่เลิกงาน และกำลังกลับบ้าน หรือไม่ก็กำลังรับประทานอาหารเย็นกับครอบครัวอย่างมีความสุข  อายุชีวิตที่คล้ายคลึงกับเวลาในหนึ่งวันแบบนี้  ผมจึงชอบเทียบอายุขัย 80 ปีกับเวลาในหนึ่งวัน

     


       การคำนวณนาฬิกาชีวิตนั้นง่ายมาก ถ้าเวลา 24 ชั่วโมง  มีค่าเท่ากับ 1,440 นาที ชีวิตที่มีอายุขัย 80 ปี  จะมีค่าเท่ากับปีละ 18 นาที 
       อายุ 10 ปี จึงมีค่าเท่ากับ 3 ชั่วโมง พอใช้สูตรนี้ เราจะสามารถคิดคำนวณเวลาได้ทุกช่วงชีวิต อายุ 20 ปี จะตรงกับเวลาหกโมงเช้า อายุ 29 ปี จะตรงกับเวลาแปดโมง 42  นาที นาฬิกาชีวิตนี้คำนวณขึ้นจากอายุขัยเฉลี่ย 80 ปี แต่ถ้าในอนาคตอายุขัยเฉลี่ยเพิ่มมากขึ้น อัตราการคำนวณเวลาชีวิตก็อาจเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย
       เมื่อไม่นานมานี้  มหาวิทยาลัยของผมได้จัดงานคืนสู่เหย้าขึ้น รุ่นพี่คนหนึ่งซึ่งมีอายุมากกว่า 60 ปี ได้เล่าให้ฟังว่า  เขาเป็นอาจารย์มาตลอดชีวิต จู่ๆรัฐบาลก็ปรับแผนให้มีการเกษียณก่อนกำหนด เขาจึงต้องเกษียณทั้งที่ยังไม่ได้เตรียมตัว ในตอนแรกเขารู้สึกเกลียดช่วงอายุที่ว่างเปล่านี้มาก แต่ตอนนี้กลับรู้สึกขอบคุณช่วงเวลานี้เป็นที่สุด เพราะเพิ่งรู้ว่าวัยเกษียณมีชีวิตใหม่ที่เปี่ยมไปด้วยความสุขซ่อนอยู่ด้วย  เขาขอบคุณที่ได้พบเจอโลกใบนี้เร็วกว่าเดิมถึง 2 ปี ...ผมรู้สึกประทับใจเรื่องราวของรุ่นพี่คนนี้มาก และเฝ้ารอให้โลกใบใหม่เดินทางมาถึงในวันหนึ่งข้างหน้า เพราะตะวันยามเย็นหลังหกโมงสาดแสงเป็นประกายงดงามไม่แพ้ท้องฟ้าเวลาอื่น
       คนส่วนใหญ่ที่ได้เห็นนาฬิกาชีวิตของตัวเองล้วนแต่ประหลาดใจ เพราะเวลาที่คำนวณออกมาดูเหมือนจะผ่านไปไม่เท่าไหร่  ตอนที่ผมบอกคนที่อายุ 50 ปีว่า "ตอนนี้นาฬิกาชีวิตของคุณอยู่ที่เวลาบ่ายสามโมงครับ" เขาลองคำนวณคร่าวๆด้วยตัวเองอีกครั้ง แล้วก็พูดขึ้นอย่างตกใจว่า "จริงด้วยแฮะ" เมื่อผมบอกเด็กอายุ 20 ปีที่เพิ่งเรียนจบ ส่วนใหญ่มักคิดคล้ายๆกันว่า "นึกว่าใช้ชีวิตมานานมากแล้วซะอีก ที่แท้นาฬิกาชีวิตก็เพิ่งหกโมงเช้าเท่านั้น"
       อายุวัยนี้  เป็นช่วงชีวิตที่เพิ่งเริ่มต้นขึ้น อาจคิดว่ากำลังจะสาย แต่เวลาในหนึ่งวันต่อจากนี้ยังคงทอดยาวไม่จบสิ้น  ความรู้สึกที่ว่า "ทุกอย่างมันสายไปแล้ว ! " ไม่ได้เกิดขึ้นจาก "ความจริง" แต่เป็นผลมาจาก "ภาพลวงตา" ที่เราสร้างขึ้นเอง ดังนั้น จึงไม่ควรหาข้ออ้างเพื่อล้มเลิกความตั้งใจ ตอนนี้ไม่มีอะไรที่สายเกินไป แม้จะเป็นเศษเวลาเล็กน้อย แต่ก็สามารถเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างได้เสมอ
      


       ขณะนี้เข็มนาฬิกาชีวิตของผมชี้ไปที่เวลาบ่ายสองโมง 24 นาที ปีนี้ผมอายุ 48 ปีแล้ว แต่นาฬิกาชีวิตก็ยังเดินไปไม่ถึงบ่ายสองโมงครึ่ง...ในทุกครั้งที่คิดว่า ยังไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย ทั้งที่อายุเกือบจะ 50 ปีแล้ว ผมจะมองไปที่นาฬิกาบนโต๊ะ เพราะเวลาชีวิตในหนึ่งวันของผมยังเหลืออยู่มากมาย
        ในภาพยนตร์เรื่อง เบนจามิน บัตตัน อัศจรรย์คนโลกไม่เคยรู้ (The Curious Case of Benjamin Button) มีบทสนทนาหนึ่งกล่าวไว้ว่า

          "ในชีวิตหนึ่ง  ไม่มีช่วงอายุใดที่เร็วเกินไปหรือสายเกินแก้"

 ขอบคุณที่มาจากหนังสือ เพราะเป็นวัยรุ่นจึงเจ็บปวด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น