มีชายคนหนึ่ง ตาบอดทั้ง 2 ข้างมาตั้งแต่กำเนิด จึงไม่รู้จักสีสันรูปพรรณสัณฐานของสิ่งต่าง ๆ มีอยู่วันหนึ่ง เขาได้ยินคนยืนคุยกันเรื่องพระอาทิตย์
ชายคนแรกพูดว่า...
"4 - 5 วันมานี้ ฝนตกทุกวัน ฟ้าครึ้มตลอดทั้งวัน ทำให้รู้สึกซึมเศร้า
แต่วันนี้ฟ้าโปร่งแล้ว มองเห็นพระอาทิตย์ด้วย ฉันรู้สึกดีใจจริง ๆ"
ชายคนที่ 2 พูดขึ้นมาบ้างว่า
"ตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิ อากาศไม่ร้อนไม่หนาว แสงแดดอันส่องสาดอยู่บนตัวเรา
ช่างให้ความรู้สึกสุขสบายอะไรเช่นนี้"
ชายคนที่ 3 กล่าวว่า "แต่พอถึงหน้าร้อน เมื่อพวกเราทำงานในนา
แสงแดดที่แผดกล้าทำเอาทุกคนเหงื่อท่วมตัวไปหมด
ถึงตอนนั้นพวกเราต่างก็คิดอยากหาที่หลบแดดแล้ว"
ชายคนที่ 4 กล่าวสรุปว่า "ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ถ้าหากไม่มีพระอาทตย์แล้วละก็ น่ากลัว มนุษยชาติคงไม่สามารถดำรงอยู่ได้อีกต่อไป"
ชายตาบอดคนนั้นได้ฟังคำพูดเหล่านี้แล้ว รู้สึกน่าสนใจ จึงเดินไปหยุดตรงหน้าคนกลุ่มนั้น ถามอย่างสุภาพอ่อนน้อมว่า "ขอเรียนถามทุกท่าน พระอาทิตย์จริง ๆ แล้วมีลักษณะอย่างไร"
ชายกลุ่มนั้นถูกถามจนนิ่งงันไป ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี เงียบไปสักครูหนึ่ง ชายคนหนึ่งก็บอกไปว่า "พระอาทิตย์เป็นของที่มีลักษณะกลม ๆ
เหมือนถาดทองแดงที่ส่องแสงออกจากตัว"
แต่ทว่าอะไรเรียกว่า "กลม" อะไรคือการ "ส่องแสง" อะไรเรียกว่า "ถาดทองแดง" ชายตาบอดคนนั้นล้วนไม่รู้จัก
ชายคนนั้นไม่รู้จะทำอย่างไรดี ได้แต่เคาะถาดทองแดงในมือตัวเองพลางบอกว่า "ก็คือของอันนี้แหละ แกเข้าใจหรือยัง"
ชายตาบอดพยักหน้างึกงัก แสดงท่าว่าเข้าใจแล้ว
วันถัดมา ชายตาบอดคนนั้นเดินผ่านหน้าวัดพอดีกับเป็นเวลาพระเคาะระฆัง
พอเขาได้ยินเสียงระฆังก็รู้สึกคล้ายกับเสียงเคาะถาดทองแดงที่ตนได้ยินเมื่อวาน เขาดีใจมาก ร้องตะโกนเสียงดังว่า "ทุกคนฟัง
นี่ก็คือเสียงของพระอาทิตย์"
ท่านสาธุชนทั้งหลาย...
ผู้คนในโลกต่างก็ทำความเข้าใจสิ่งต่าง ๆ
โดยอาศัยการเปรียบเทียบกับประสบการณ์เดิมของตน
หากสิ่งใดเป็นสิ่งที่พ้นเกินกว่าประสาทสัมผัสของมนุษย์ทั่วไปจะรับรู้ได้ มนุษย์ย่อมไม่เข้าใจสิ่งนั้น เพราะเหตุนี้เอง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงอธิบายลักษณะของพระนิพพานด้วยการปฏิเสธว่า ไม่ใช่พระอาทิตย์
พระจันทร์ หรือสิ่งใด ๆ ที่มนุษย์ในโลกรู้จัก แต่ทรงรับรองว่า
อายตนะนั้นมีอยู่
แต่ทว่าชาวโลกอีกไม่น้อยที่ปฏิเสธการมีอยู่ของทั้งพระนิพพาน นรก สวรรค์ บุญ
บาป กฏแห่งกรรม เพราะถือว่าตัวไม่เห็น พวกเราทุกคนอย่าเป็นอย่างนั้นนะ
ขอให้ตั้งใจปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระธรรม สามารถไปรู้ไปเห็นสิ่งเหล่านี้ด้วยตัวของเราเอง ด้วยญาณทัสสนะของพระธรรม
แล้วเราจะรู้ว่า เราเกิดมาจากไหน เกิดมาทำไม มีหน้าที่อะไร
ตายแล้วเราจะไปไหน ซึ่งเป็นความรู้พื้นฐานที่ทำให้เราเป็นบุคคลที่ตื่นแล้ว
พร้อมจะก้าวเดินไปสู่ความสุขความสำเร็จที่นิรันดร์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น